นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวถึงกรณีการยื่นญัตติเสนอร่างแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่ง ขณะนี้มีทั้งร่างของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย
อย่างไรก็ตาม การจะดำเนินแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้นั้น เงื่อนไขสำคัญที่สุดที่รัฐธรรมนูญ 2560 กำหนดไว้คือขั้นตอนของการรับหลักการในวาระที่ 1 และ 3 ซึ่งต้องการเสียงเห็นชอบจาก สว. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3
“นั่นหมายความว่า ความพยายามกำหนดแนวทางการได้มาซึ่ง สสร. ทั้งของพรรคเพื่อไทย และของพรรคประชาชนเองอาจจะถูกคุมกำเนิด ยิ่งเมื่อพิจารณาจากแนวทางที่พรรคภูมิใจไทยเสนอนั้น พบว่า การได้มาซึ่ง สสร. ก็ไม่มีความเชื่อมโยงใดๆ กับการเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมเลย
และการดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเปิดทางให้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตาม MOA ส้ม-น้ำเงิน ในครั้งนี้อาจจะกลายเป็นเพียงพิธีกรรมที่ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ เพราะในท้ายที่สุดแล้วผู้ที่จะกำหนดว่าใครจะได้เป็น สสร. จะมีพรรคการเมืองขนาดใหญ่ที่อยู่ในคราบ สว. สีน้ำเงิน และพรรคภูมิใจที่กำลังเติบโตขึ้นทุกวันจากการรดน้ำพรวนดิน บำรุงด้วยแร่ธาตุสารสีส้ม ซึ่งจวนเจียนจะมีสมาชิกถึงกึ่งหนึ่งของรัฐสภาเต็มที ดังนั้น ปลายทางของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งดีงามอย่างที่พรรคประชาชนคาดหวัง
และสภาพการณ์นี้จะกลายเป็นการเปิดกล่องแพนโดร่า ที่ปลดปล่อยหายนะออกมา และปิดขังความหวังเอาไว้ด้านใน ฉะนั้นเพื่อเป็นการหยุดยั้งหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น พรรคประชาชนในฐานะที่เป็นผู้ทำคลอดรัฐบาลสีน้ำเงินนี้มากับมือ ไม่เพียงแต่เข้าไปพูดคุยเจรจากับคุณอนุทิน ชาญวีรกุล นายกฯ เท่านั้น แต่ต้องตั้งโต๊ะพูดคุยเจรจาอย่างเปิดเผยระหว่างพรรคประชาชน ในฐานะฝ่ายค้ำรัฐบาล พรรคภูมิใจไทย ในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และ สว. ในฐานะตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางของการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทำการเมืองให้ตรงไปตรงมาอย่างที่เคยป่าวประกาศ จะดีลอะไรกัน จะแลกเปลี่ยนอะไร ก็ให้ประชาชนได้รับรู้ด้วย
และท้ายที่สุด “พรรคเพื่อไทยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การตัดสินใจของพรรคประชาชน จะไม่สูญเปล่า เนื่องจากนี่คือการเอาอนาคตของประเทศมาเดิมพัน และความรับผิดชอบที่มากขนาดไหนจากพรรคประชาชนก็ไม่เพียงพอ หากความหวังที่จะมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กลายเป็นความสิ้นหวังหรือหายนะที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา”