ไม่พบผลการค้นหา
ส.ส.เพื่อไทย ดักคอนายกฯ อย่าเอาปัญหาใน พปชร.มาเป็นปัญหาประเทศในโจทย์ปรับ ครม. พร้อมยืนยัน รัฐบาลต้องคุยกับนักศึกษาโดยตรง หากสภาฯ ตั้งกรรมาธิการ ฝ่ายค้านจะไม่ร่วม

วันที่ 23 ก.ค. 2563 นายสุทิน คลังแสง ส.ส.จังหวัดสารคาม พรรคเพื่อไทยในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน เกี่ยวกับการพิจารณาให้มีการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียน นิสิต และนักศึกษา ของสภาผู้แทนราษฎร ก่อนการลงมติในวันนี้ว่า ทุกฝ่ายเห็นพ้องว่าควรรับฟังนักศึกษา แต่ฝ่ายรัฐบาลต้องการให้ตั้งกรรมาธิการขึ้นมา ซึ่งฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยเพราะมองว่าสิ้นเปลืองเวลาและงบประมาณ อีกทั้งเมื่อสภารับฟังแล้วต้องส่งความเห็นไปคณะรัฐมนตรีอีกทอดหนึ่ง หากมีการลงมติให้ตั้งกรรมาธิการจริงฝ่ายค้านก็จะไม่ส่งคนเข้าร่วมในกรรมาธิการนี้ด้วย 

โดยฝ่ายค้านเห็นว่า ควรให้รัฐบาลรับฟังนักศึกษาเลย เพราะเป็นคู่กรณีโดยตรง ซึ่งดูจากข้อเรียกร้อง 3 ข้อทั้งยุบสภาและแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการคุกคามประชาชนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี และฝ่ายค้านจะผลักดันตามแนวทางนี้ต่อไป

ส่วนเวทีสภาฯ นั้นได้รับฟังความเห็นตลอดมาอยู่แล้วในส่วนของกรรมาธิการชุดต่างๆ และยังสามารถเชิญตัวแทนนักศึกษาเข้ามาให้ข้อมูลหรือให้ความเห็นได้ตลอด ซึ่งการชุมนุมมีทุกประเทศ สิ่งที่ป้องกันไม่ให้เกิดความรุนแรงนั้น คือเมตตาธรรมเริ่มจากการรับฟังกัน แต่การรับฟังความเห็นนักศึกษาต้องไม่เป็นแค่พิธีกรรมเท่านั้น

นายสุทิน ยังกล่าวถึงการปรับ ครม.ว่า สังคมจะดูออกว่าเป็นการปรับเพื่อแก้ปัญหาภายในพรรคแกนนำรัฐบาลหรือเพื่อแก้ปัญหาให้ประเทศ ซึ่งรูปแบบและผลจะออกมาแตกต่างกัน ดังนั้น ผู้มีอำนาจอย่าเอาปัญหาของพรรคเป็นปัญหาของประเทศ หรือปรับ ครม.เพื่อแก้ปัญหาภายในพรรคเท่านั้น เพราะประชาชนจะเสียโอกาส หรือ ปรับ ครม.แล้วอาจจะแย่ลง ปัญหาบานปลาย สุดท้ายพรรคแกนนำรัฐบาลเองก็จะอยู่ไม่ได้

ด้านน.ส.นภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย กล่าวถึง การชุมนุมของนักศึกษาที่เรียกร้องให้ยุบสภาและเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 60 ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ควรเดินสายไปรับฟังข้อเรียกร้องด้วยตัวเอง เหมือนกับที่เคยเดินสายพบสื่อมวลชน ซึ่งการที่นักศึกษาออกมาขับไล่ เป็นเพราะตลอด 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลไม่ได้ดำเนินการตามที่ให้สัญญาไว้ ทั้งเรื่องนโยบายที่ใช้หาเสียง เรื่องการปรองดอง รวมทั้งการไม่สามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ โดยมีรัฐธรรมนูญปี 60 เป็นศูนย์กลางของปัญหาทั้งมวล

“ พล.อ.ประยุทธ์ ควรเปิดใจกว้าง และ ไม่ควรใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เพราะนั่นจะยิ่งเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นอีก และที่สำคัญไม่ควรเอาผิดผู้ชุมนุมตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ยืนยันเองว่าการต่ออายุ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ไม่เกี่ยวกับการคุมม็อบ แต่ใช้คุมโรคโควิด แต่เป็นที่น่าสังเกตุว่า ทำไมยังมีเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบ ไปสะกดรอยติดตามแกนนำนักศึกษาเกือบทุกจังหวัด” น.ส.นภาพรกล่าว

น.ส.นภาพรกล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ ต้องแสดงความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยการเป็นผู้นำในการแก้ไข ไม่ใช่ใช้เวทีสภาเป็นตัวเตะถ่วง โดยเฉพาะสมาชิกวุฒิสภา หรือ 250 สว.ที่ พล.อ.ประยุทธ์แต่งตั้งด้วยตัวเอง ถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการแก้รัฐธรรมนูญ หาก พล.อ.ประยุทธ์จริงใจ ก็ควรแนะนำ 250 สว. แถลงจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่นักศึกษาเรียกร้อง ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ผ่อนคลายขึ้น

“ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ได้กลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองเสียเองแล้ว หากไม่เร่งคลายล็อกหรือตัดไฟแต่ต้นลม ความขัดแย้งที่กำลังก่อตัวจากหลายปัญหาที่สะสมมาตลอด 6 ปี ก็จะปะทุขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นเชื่อว่ารัฐบาลจะรับมือไม่ได้ ดังนั้น นายกควรรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายด้วยตัวท่านเอง  อย่ากำจัดคนเห็นต่างให้พ้นทาง ด้วยกรรมวิธีที่ท่านทำมาตลอด 6 ปี” น.ส.นภาพรกล่าว