จาตุรนต์ ฉายแสง สส.พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 โดยระบุว่า ผมเคยนั่งฟังการแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่เข้ามาเพื่อทำหน้าที่ "ยุบสภา"
บางทีเราก็อาจศึกษาจากประวัติศาสตร์ได้บ้าง เหตุการณ์และข้อถกเถียงทางการเมืองในวันนี้ทำให้ผมนึกถึงประสบการณ์ในอดีต ที่อาจจะทำให้ได้ข้อคิดที่เป็นประโยชน์ต่อการมองสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้
การมีนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อมาเตรียมการยุบสภาให้มีการเลือกตั้ง ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬหรือที่หลายคนเรียกกันว่า “พฤษภาประชาธรรม” เมื่อปี 2535 หลังจากที่พลเอกสุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้นลาออกจากตำแหน่งไม่มีประเด็นหรือคำถามว่า รองนายกรัฐมนตรีที่รักษาการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น สามารถยุบสภาได้หรือไม่
สิ่งที่เกิดขึ้นในทันทีก็คือประธานสภาผู้แทนราษฎรในขณะนั้น นำชื่อนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าและมีการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
การได้เป็นนายกรัฐมนตรีของนายอานันท์ ไม่ได้เกิดจากการหารือกับพรรคการเมือง และไม่ได้มีข้อเสนอใดๆ ต่อนายอานันท์ แต่นายอานันท์ก็เข้าใจดีว่าภารกิจของตนเป็นภารกิจเฉพาะกิจ ที่จะมาเตรียมการให้มีการเลือกตั้งเพื่อให้บ้านเมืองกลับเข้าสู่ภาวะปกติและให้ประชาธิปไตยเดินหน้าต่อไป
ผมยังจำได้ติดตาถึงวันที่นั่งฟังนายกฯอานันท์แถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยมีตอนหนึ่งระบุว่า “...การแต่งตั้งครั้งนี้ เพื่อจะได้ใช้กระบวนการทางรัฐสภาและรัฐธรรมนูญ คืนอำนาจอธิปไตยกลับไปให้ประชาชนเพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้พัฒนาไปอย่างต่อเนื่องและมีความสมบูรณ์ และให้รัฐบาลที่จัดตั้งขึ้นใหม่มีโอกาสใช้ความสามารถในระยะเวลาอันสั้น ฟื้นฟูประเทศชาติให้เกิดเสถียรภาพในแนวทางสันติ เพื่อจะได้เป็นที่เชื่อถือแก่นานาประเทศต่อไป…”
ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภา นายอานันท์ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลของตนเป็นรัฐบาลเฉพาะกิจ แต่ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีนโยบายในการแก้ปัญหาสำคัญ ๆ ของประเทศหลายประการ แต่ไม่ทันที่จะนำนโยบายใดๆไปสู่การปฏิบัติ นายกรัฐมนตรีก็ยุบสภาไปอย่างรวดเร็วตามที่ได้ประกาศไว้
นายอานันท์ ปันยารชุน ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 10 มิถุนายน 2535 แถลงนโยบายต่อสภาในวันที่ 22 มิถุนายน 2535 และยุบสภาในวันที่ 30 มิถุนายน 2535 และจัดเลือกตั้งทั่วไป ในวันที่ 13 กันยายน 2535 รวมเวลานับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีถึงวันที่ยุบสภาเป็นเวลาเพียง 20 วันเท่านั้น
การยุบสภาอย่างรวดเร็วในครั้งนั้นนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปที่ทำให้การเมืองไทยเข้าสู่ภาวะปกติ เกิดการพัฒนาการทางการเมืองเป็นลำดับไปจนถึงเกิดการปฏิรูปการเมืองและทำให้มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนในปี 2540 ในที่สุด
แน่นอนว่าสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนั้นกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันอย่างมาก แต่ก็มีบางเรื่องบางประเด็นที่อาจจะนำมาเทียบเคียงกันได้ เพียงแต่ว่าในครั้งนั้นไม่มีใครคิดจะให้รักษาการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ยุบสภา และมีการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีขึ้นใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
ส่วนในปัจจุบันเมื่อมีความไม่แน่นอนในการหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ จึงมีการเสนอประเด็นให้รักษาการนายกรัฐมนตรียุบสภา เกิดเป็นข้อถกเถียงทางกฎหมายกันอยู่
ในความเห็นของผม การจะให้รักษาการนายกรัฐมนตรีประกาศยุบสภา ทั้งๆ ที่ยังไม่มีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีในสภากันเลย น่าจะขาดเหตุผลและความชอบธรรมทางการเมือง จึงไม่ควรทำและควรจะให้มีการเลือกนายกรัฐมนตรีกันในสภาเสียก่อน หากเลือกจากแคนดิเดทนายกฯจนหมดทุกคนแล้วยังไม่ได้นายกรัฐมนตรี ก็มีความจำเป็นที่รักษาการนายกรัฐมนตรีจะต้องประกาศยุบสภา และก็น่าจะสามารถทำได้