วันนี้ (6 ส.ค. 2568) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานรับฟังการแถลงผลการศึกษาของนักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร สำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) รุ่นที่ 2 โดยมีพันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลโท ทักษิณ สิริสิงห ผู้อำนวยการวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร พลตรี ชัชวาลย์ พยุงวงศ์ รองปลัดบัญชีทหาร ผู้อำนวยการหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 และผู้ร่วมงานประมาณ 300 คน ประกอบด้วยนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ผู้แทนนักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 ผู้บริหารระดับสูงจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและภาคเอกชน สื่อมวลชนและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
รองนายกฯ ภูมิธรรม รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวยินดีที่วันนี้ได้มีโอกาสมาร่วมรับฟังการนำเสนอเป็นครั้งที่ 2 ได้มารับพลังในการนำเสนอนโยบายการพัฒนาความมั่นคงของชาติ 10 ปี เพื่อขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ด้วยคำว่า “กินดี - อยู่ดี - มีสุข” ตามแนวคิด 2P by 2P จากเหล่าผู้บริหารแห่งอนาคตในหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 ซึ่งถือเป็นส่วนผลักดันให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติบรรลุเป้าหมาย ให้กว้างขวางมากขึ้นต่อการเปลี่ยนแปลงโลกในยุคปัจจุบัน
ปัจจุบันโลกเราเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับภัยคุกคามด้านความมั่นคงในรูปแบบต่างๆ ทั้งเรื่องอาชญากรรมทางไซเบอร์ การค้ามนุษย์ ยาเสพติด อาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดน สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ การพัฒนาคน รวมถึงการพัฒนาสังคมให้พี่น้องคนไทยอยู่ดี กินดี มีความสุข และมีความปลอดภัยในชีวิต
จากการนำเสนอนโยบายของนักศึกษา วปอ.บอ. รุ่นที่ 2 วันนี้ ได้เห็นถึงการนำเสนอข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ไม่เพียงเป็น “พลังความเปลี่ยนแปลง” ที่บ่มเพาะจากความคิดของผู้นำแห่งอนาคต ที่กล้าคิด กล้าทำ จากข้อจำกัดเดิม ๆ พร้อมทั้งก้าวต่อไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน นอกจากนี้ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการพัฒนาความมั่นคงของชาติในระยะเวลา 10 ปี ยังสามารถสะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฉุดรั้งการพัฒนาประเทศ ไปพร้อมกับการเสนอแนวทางการดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งแนวทางที่เสนอมานี้มีความสอดคล้องกับนโยบายและแนวทางปฏิบัติของภาครัฐในหลายด้านอีกด้วย
รองนายกฯ กล่าวถึง ด้าน Prosperity - ประเทศไทยที่ “กินดี” ภาครัฐมีนโยบายยกระดับเศรษฐกิจฐานรากเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในทุกด้าน เพื่อสร้างความเท่าเทียมในด้านการศึกษา สุขภาพ และเทคโนโลยี ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพที่มั่นคง และมีรายได้พอเพียงสามารถเลี้ยงตนเองและครอบครัว
ด้าน Peace – “อยู่ดี” ภาครัฐมีนโยบายที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กไปจนถึงกลุ่มผู้สูงอายุที่ควรได้รับสวัสดิการพื้นฐานที่เข้าถึงได้จริง เช่น โครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค ซึ่งปัจจุบันได้ขยายผลสำเร็จเป็นโครงการ “30 บาทรักษาทุกที่” เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขของประชาชนให้ครอบคลุมและสะดวกมากยิ่งขึ้น
ด้าน Professionalism ภาครัฐได้นำเอาเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการประชาชน เพิ่มความมั่นคงและปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงเพิ่มความโปร่งใส่ในการดำเนินงานของภาครัฐ โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง ยึดมั่นในความถูกต้อง เคารพกฎ กติกา ยึดมั่นในหลักนิติรัฐ นิติธรรมและที่สำคัญ คือ เคารพในหลักการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พร้อมทั้งมีความรับผิดชอบต่อประชาชน ซึ่งจะมีส่วนทำให้บริการภาครัฐเป็นไปอย่างมืออาชีพ ได้รับความเชื่อมั่น และสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้ในทุกสถานการณ์
ด้าน Partnership ภาครัฐเปิดโอกาสให้ภาคเอกชน ประชาสังคม และชุมชนท้องถิ่นร่วมแสดงความคิดเห็นและมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ซึ่งภาครัฐพร้อมสนับสนุนนโยบายที่มาจากประชาชนอย่างเต็มที่ เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ
รองนายกฯ กล่าวว่า เมื่อเช้านี้ได้พบหารือกับผู้บริหารบริษัทชั้นนำระดับโลก 30 บริษัท จากอุตสาหกรรมเป้าหมาย ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง รวมถึงแผงวงจรพิมพ์ (PCB) ยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ดิจิทัล และอุตสาหกรรมอาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ โดยทุกบริษัทมีการลงทุน รวมถึงการขยายการลงทุนขนาดใหญ่ในไทยช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่ารวมกว่า 5.5 แสนล้านบาท มีการจ้างงานรวมกว่า 53,000 ตำแหน่ง โดยสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ได้จัดการเรียนการสอน และฝึกอบรมนักเรียนอาชีวะให้เรียนรู้ด้านกลไกเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน
โดยรองนายกฯ กล่าวว่า ตนเคยศึกษาในหลักสูตร วปอ.รุ่น 46 เมื่อ 20 ปีก่อน ได้เห็นว่าโลกมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ในตอนนั้นเรื่องความมั่นคงในมิติทางสังคมต่างๆ ได้ศึกษาในบางส่วน ไม่ได้มีโอกาสออกไปศึกษาข้างนอกที่มีการเปลี่ยนแปลงเท่ากับปัจจุบัน ทั้งนี้ จากการนำเสนอของตัวแทนทั้ง 8 ราย ถือเป็นกระบวนการนำเสนอที่มีระบบคิดรองรับชัดเจน มองเห็นปัญหาที่มีอยู่ ซึ่งสามารถนำไปสู่ข้อเสนอแนะที่สามารถนำไปปรับใช้ต่อได้ ทุกคนต้องกล้าคิดนอกกรอบ กล้าลงมือทำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ เพราะมนุษย์เรียนรู้จากประสบการณ์และความเข้าใจของตนเอง เรื่องกฎระเบียบต่างๆ เวลานี้ที่ตนเข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งบางเรื่องที่คิดว่ามันไม่ถูกต้อง และไม่กล้าทำ หรือบางเรื่องกล้าทำ แต่ยังได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ดังนั้น เมื่อโลกมีการเปลี่ยนแปลงทางความคิด มนุษย์สร้างกฎระเบียบต่างๆ ขึ้นมาจากระบบสังคม ระบบการทำงาน เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข และกฎระเบียบบางส่วนเกิดขึ้นจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันยิ่งต้องปรับปรุงกฎระเบียบต่าง ๆ ให้เหมาะสมต่อไป