ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี นำถก ศบค. เต็มคณะ ย้ำต้องคำนึงถึงการปรับตัว รับกระแสการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน พร้อมประเมินสถานการณ์หลังผ่อนคลายตั้งแต่ 3 พ.ค. จ่อคลายล็อกระยะที่ 2

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด -19) ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล

โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งในที่ประชุมว่า การประชุม ศบค.ในวันนี้เป็นการประชุมเต็มคณะ ภายหลังการประกาศขยายระยะเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ออกไป ซึ่งนอกจากการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคแล้ว ต้องคำนึงถึงการปรับตัวเพื่อรับกระแสการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน 

ส่วนวาระการประชุมคาดว่าจะมีการรายงานสถานการณ์​การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโค-19 ที่ล่าสุด มียอดผู้ติดเชื้อลดลงต่อเนื่อง พร้อมประเมินสถานการณ์​หลังมีการผ่อนคลายมาตรการตั้งแต่วันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อเตรียมผ่อนคลายมาตรการในระยะที่ 2 ต่อไป

ทั้งนี้ ยังคาดว่าจะมีการรายงานถึงการจัดเตรียมสถานที่ State Quarantine เพื่อรองรับประชาชนคนไทยที่การเดินทางกลับจากต่างประเทศที่ทยอยเดินทางกลับต่อเนื่องมีหลายพันคน

อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามภายหลังการประชุม​เสร็จสิ้น โดยนายแพทย์​ทวีศิลป์​ วิษณุ​โยธิน​ โฆษก​ศบค. จะมีการแถลงถึงสถานการณ์​ประจำวัน ในเวลา 12.30 น.

ด้านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ยืนยันมีความจำเป็นที่จะต้องคงเคอร์ฟิวอยู่เพราะถือเป็นมาตรการหลักภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ทั้งนี้ การจะผ่อนปรน หรือจะขยาย พ.ร.ก.ฉุกเฉิน. หรือไม่ อยู่ที่ข้อเสนอของคณะแพทย์เป็นหลัก 

ส่วนนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำว่าการที่รัฐบาลได้ภาคเอกชนมาร่วมมือกันยิ่งเป็นเรื่องที่ดี เพราะถือว่าช่วงนี้ทุกคนต้องเข้ามาช่วยเหลือกัน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกตกต่ำอย่างมาก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ดังนั้นการที่ทุกคนต้องมาช่วยกัน ประคองเศรษฐกิจในประเทศไปให้ได้ โดยเฉพาะการจ้างงาน ให้คนมีงานทำ จะเป็นเรื่องดีที่สุด ส่วนการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจไทยอาจจะตกต่ำนานถึง 9 เดือนนั้น เห็นว่า ไทยควรเตรียมแผนการไว้ดีที่สุด 

ขณะที่นายนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโรคโควิด-19 ว่า ได้มอบหมายให้สถาบันวัคซีน ไปหารือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งขณะนี้ทราบว่าได้ดำเนินการทำบันทึกข้อตกลง กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่จีนแล้ว โดยได้มีการศึกษาและทำวิจัยด้วยกัน ส่วนตนเองนั้น ได้เรียกให้ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีน มาหารือ โดยเน้นย้ำว่าการทำบันทึกข้อตกลงไทย ไทยจะต้องไม่เสียเปรียบ เรื่องการเข้าถึงวัคซีนอย่างพร้อมกัน และยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ส่วนจะมีการเสนอผ่อนปรนเพิ่มบางกิจการในสัปดาห์นี้ หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่ กับ ศบค. ทางกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นคนคอยสนับสนุนมาตรการต่างๆ เท่านั้น ทั้งนี้ นายอนุทินยืนยันว่า มีเงินจ่าย อสม.อย่างเต็มจำนวน โดยไม่ต้องกังวลใดๆ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :