เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2568 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ทางการเกาหลีใต้ เตรียมที่จะใช้มาตรการกดดันปราบปรามสแกมเมอร์ที่อยู่ในประเทศกัมพูชา เรื่องนี้ประเทศไทยจะมีส่วนเข้าไปดำเนินการอย่างไรบ้าง ว่า เงื่อนไขการรับสแกมเมอร์เป็น 1 ใน 4 ข้อที่ยื่นไปยังประเทศกัมพูชาที่ถือเป็นข้อตกลงที่จะต้องให้ประเทศกัมพูชาปฏิบัติ ส่วนที่นานาชาติต้องการให้เพิ่มมาตรการในการปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์นั้น นายอนุทิน ย้ำว่า เป็น 1 ใน 4 ข้อ ที่ไทยยื่นเป็นเงื่อนไข นำไปสู่การเจรจาแก้ไขปัญหาของทั้งสองประเทศ คือ
1.กัมพูชาต้องถอนอาวุธหนักออกจากพื้นที่
2.การเก็บกู้ทุ่นระเบิด
3.การร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ
4.การบริหารจัดการชายแดนที่มีปัญหา
ต้องได้รับการตอบสนองก่อนที่จะบรรลุข้อตกลงใดๆ ที่เกิดขึ้น
นอกจากนี้ นายอนุทิน ยังย้ำว่าในวันศุกร์นี้ (17 ต.ค.2568) ยังได้กำชับให้นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำเงื่อนไข 4 ประเด็นนี้ ไปพูดคุยในวงเจรจา ซึ่งคิดว่าหาก 4 ประเด็นนี้ได้รับการตอบสนองจากฝั่งกัมพูชา ก็จะทำให้ภัยที่ผลต่อความมั่นคงของไทยลดลงไป ถ้ากัมพูชายอมแก้ไขใน 4 ประเด็นนี้
ส่วนที่ รมว.กลาโหมของกัมพูชา ออกมาระบุว่าการเปิดเสียงผี เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง ไทยจะมีการชี้แจงเพิ่มเติมอย่างไรบ้าง โดยนายอนุทิน กล่าวว่า ตนมองว่าระเบิดที่เข้ามา จรวดที่ยิงเข้ามาในเขตไทย กัมพูชาทำอันตรายให้กับคนไทย โดรนที่บินเข้ามาในเขตไทย ซึงเป็นสิ่งที่ละเมิดอธิปไตยของประเทศไทย
นายอนุทิน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่าจากนี้จะเป็นการไฟเขียวให้กับ 'กัน จอมพลัง' ในการทำเรื่องนี้ใช่หรือไม่ด้วยว่า ไม่ทราบ พร้อมกล่าวว่า ทุกคนต้องทำตามกฎหมาย แม้ใครจะมองอย่างไรก็ตาม แต่ต้องใช้กฎหมายกำหนด ส่วนที่หลายคนมองว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ทำงานช้า ไม่ถูกใจประชาชน จะให้ให้กำลังใจกันอย่างไร นายอนุทิน เผยว่า ต้องให้กำลังใจ เจ้าหน้าที่ที่ทำงาน รวมถึงตำรวจ ข้าราชการ ฝ่ายปกครอง และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทอยู่ ซึ่งต้องให้กำลังใจอย่างเต็มที่ และสนับสนุนทุกอย่างให้สามารถทำงานได้ และนำชัยชนะ ปกป้องประชาชน และอธิปไตยของไทย
นอกจากนี้ ในประเด็นที่ว่าหากกองทัพภาคที่ 1 นำเครื่องจักรใหญ่รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว นายอนุทิน ระบุว่า เป็นอำนาจของกองทัพที่จะเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ที่มีปัญหาความขัดแย้งอยู่ โดยดำเนินการให้อยู่ในกรอบของกฎหมายภายใต้กฎอัยการศึก ดังนั้นการตัดสินใจดำเนินการอะไรกองทัพมีอำนาจตัดสินใจเต็มที่ และรัฐบาลก็ให้การสนับสนุนการตัดสินใจของกองทัพ