ไม่พบผลการค้นหา
ศาลปกครองสูงสุด พิพากษาแก้ให้ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนคดีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข ตามคำร้อง 'คุณหญิงสุดารัตน์' โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ด้าน ‘สุดารัตน์’ ขอบคุณศาลให้ความเป็นธรรม จ่อเช็คบิลฟ้องอาญาคนทำหลักฐานปลอมคดี ลั่นตราบาป 14 ปีต้องเป็นกรณีตัวอย่างปฏิรูปองค์กรอิสระ

ศาลปกครองสูงสุด ได้เผยแพร่คำพิพากษาคดีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ฟ้องขอให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยข้อมูลการไต่สวนคดีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุข ว่า

8 ต.ค. 2563 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ของกระทรวงสาธารณสุขเฉพาะบางรายการ ให้แก่ คุณหญิงสุดารัตน์ ตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารสาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย โดยให้เปิดเผยเฉพาะรายการที่ 1 สำเนาการสอบสวนข้อเท็จจริง รายการที่ 2 สรุปข้อเท็จจริง รายการที่ 3 ผลการพิจารณาและรายงานการประชุมของคณะกรรมการ ป.ป.ช.และคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว และรายการที่ 5 คำสั่งและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.และคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โดยอาจใช้ดุลพินิจปกปิดชื่อบุคคลและข้อความที่อาจส่งผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคล ทั้งนี้ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่มีคำพิพากษา (1 ก.ย. 2563)

ส่วนรายการที่ 4 ถ้อยคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่สอบสวนคดี ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ใช้ดุลพินิจไม่เปิดเผยนั้น ศาลเห็นชอบด้วย เพราะการเปิดเผยถ้อยคำพยานบุคคลย่อมทำให้พยานเกิดความไม่เชื่อมั่น และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของพยานผู้มาให้ถ้อยคำได้

ทั้งนี้ เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า ข้อมูลข่าวสารในรายการที่ 1 รายการที่ 2 รายการที่ 3 และรายการที่ 5 เป็นข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ราชการตามปกติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้พิจารณาคดีดังกล่าวเสร็จสิ้นแล้วโดยเห็นว่าข้อกล่าวหาไม่มีมูลและแจ้งผลให้ผู้อุทธรณ์ทราบแล้ว และคุณหญิงสุดารัตน์ เป็นผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องดังกล่าวจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในข้อมูลข่าวสาร ย่อมมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลข่าวสารนั้น เพื่อใช้ปกป้องส่วนได้เสียของตน อีกทั้งการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารดังกล่าวจะแสดงให้เห็นถึงความถูกต้องและโปร่งใสในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.

ดังนั้น การเปิดเผยข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงดังกล่าว จึงไม่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพหรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ตามมาตรา 15 (2) แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540

‘สุดารัตน์’ ขอบคุณศาลปกครองสูงสุดที่ให้ความเป็นธรรม

ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า รู้สึกดีใจและขอบคุณศาลปกครองสูงสุดที่ให้ความเป็นธรรม คดีนี้สร้างตราบาปให้กับตนเองมาร่วม 14 ปี เป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกการจัดซื้อคอมพิวเตอร์ 900 ล้านบาท ซึ่งเงินงบประมาณทั้ง 900 ล้านบาทก็ได้ส่งคืนกระทรวงการคลังทั้งหมด ต่อมาคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ ว่าไม่มีการทุจริต การยกเลิกโครงการเป็นการรักษาประโยชน์ราชการ 

เหตุเกิดหลังจากรัฐประหารมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวหา ทั้งที่ไม่มีการประมูลจัดซื้อใดๆ เลย และเงินทุกบาททุกสตางค์ทั้ง 900 ล้านบาท ได้ส่งคืนกระทรวงการคลังทั้งหมด ตนต่อสู้คดีกับ ป.ป.ช. อยู่ถึง 7 ปี จน ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ว่าตนและคณะไม่มีความผิด

ส่วนการที่ตนยื่นศาลปกครองฟ้อง ป.ป.ช. เพื่อขอให้ ป.ป.ช. เปิดหลักฐานในคดี ที่ตนพบว่ามีการทำหลักฐานเท็จมาปรักปรำตนเองให้ได้รับผิด จึงต้องการให้เป็นบรรทัดฐานว่าองค์กรอิสระต้องพิจารณาทุกอย่างทุกเรื่องอย่างเที่ยงธรรมที่แท้จริง ไม่มีธง หรือ 2 มาตรฐาน

ตนเคยเป็นคนหนึ่งในการสนับสนุนรัฐธรรมนูญปี 2540 ให้มี ป.ป.ช. หวังเห็น ป.ป.ช. ใช้อำนาจสุจริตและเที่ยงธรรม ในการตรวจสอบนักการเมืองไม่ให้กระทำทุจริต โดยไม่เป็นเครื่องมือทางการเมืองของฝ่ายมีอำนาจเพื่อขจัดคู่แข่ง 

แต่ในคดีของตนพบว่ามีการงอกหลักฐานที่เป็นเท็จหลายชุด และภายใน 30 วันนี้ ป.ป.ช. จะต้องส่งเอกสารมาให้ตนเกือบทั้งหมด ยกเว้นคำให้การของพยาน และถ้าพบว่ามีการทำเอกสารเท็จจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดก็จะต้องมีการดำเนินคดีอาญาต่อ 

ทั้งนี้คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า ไม่มีความอาฆาตมาดร้าย แต่ตัวเองอยู่ในระบบการเมือง องค์กรอิสระต้องทำตนให้เที่ยงธรรม ตรวจสอบและลงโทษนักการเมืองอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช้อำนาจกลั่นแกล้งหรือไปตามธงตามที่เราได้ยินกันในช่วงหลายปีมานี้ จึงอยากให้กรณีนี้เป็นตัวอย่างเพื่อทำให้ระบบยุติธรรม เกิดการเปลี่ยนแปลง ยึดหลักนิติธรรม และมีความเที่ยงธรรมอย่างแท้จริง

“ขนาดเราเป็นผู้ที่ทำงานทางการเมือง เคยทำงานในตำแหน่งต่างๆ มาเรายังโดนขนาดนี้ ถ้าเป็นประชาชน เป็นคนทั่วไปที่เขาไม่มีกำลัง เขาเจอแบบเราเขาจะมีปัญญาไหนไปต่อสู้ กับกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้ให้ความเที่ยงธรรมกับเขา เราสนับสนุนให้ตรวจสอบนักการเมือง แต่ไม่ใช่ตรวจสอบตามธง ฝั่งหนึ่งไม่เคยผิด อีกฝั่งผิดตลอด” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

เมื่อถามว่า หากมีการร้องต่อศาลแล้วถูกดึงเรื่องไปอีกจะทำอย่างไร คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่าไม่เป็นไร แต่ความเที่ยงธรรมต้องเกิด รวมทั้งระยะเวลาที่จะได้รับความเป็นธรรมก็สำคัญ หลายคนที่ร้องขอความเป็นธรรม แต่กว่าความเป็นธรรมจะมาถึง เขาต้องเสียชีวิตไปก่อน


ข่าวที่เกี่ยวข้อง :