นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นำคณะทูตจากประเทศสมาชิกอาเซียน และรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา รวมถึงองค์กรระหว่งประเทศ จำนวน 33 ประเทศ ลงพื้นที่บริเวณหน่วยปฏิบัติการณ์ภูมะเขือ อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เคยพบทุ่นระเบิดสังหารจริง เพื่อเยี่ยมชมการปฏิบัติงานเก็บกู้ และการตรวจยึดทุ่นระเบิดรวมถึงยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ที่พบในพื้นที่ โดยมีสื่อมวลชนร่วมสังเกตการณ์ผลการเก็บกู้ และการยึดอาวุธ
เจ้าหน้าที่จากกองพลทหารช่างที่ 4 กองพลทหารราบที่ 4 กองทัพภาคที่ 3 ได้รายงานสรุปผลการปฏิบัติงานว่า ที่ผ่านมาสามารถเก็บกู้ และตรวจยึดทุ่นระเบิดสังหารบุคคลได้ทั้งสิ้น 46 ทุ่น โดยในจำนวนนี้มี 16 ทุ่น และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และยังพบทุ่นระเบิดดักรถถัง ลูกจรวด RPG และลูกระเบิดขนาด 60 และ 82 มม. ซึ่งแม้จะมีการประกาศหยุดยิง 2 ประเทศมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ทหารไทย ยังคงตรวจค้นในเขตพื้นที่ประเทศไทยและยังคงพบทุ่นระเบิดและยุทโธปกรณ์ของฝ่ายกัมพูชาเป็นระยะ
เจ้าหน้าที่ทหารฯ ยังระบุว่า ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลที่ตรวจพบส่วนใหญ่ จะถูกฝังอยู่ไม่ลึกจากพื้นดิน และอำพรางด้วยดินและเศษใบไม้ ซึ่งอุปกรณ์ตรวจจับโลหะเป็นเครื่องมือหลักที่ใช้ในการค้นหา ส่วนความเสียหายที่เกิด จะแตกต่างกันไป และขึ้นอยู่กับชนิดของรองเท้าที่สวมใส่ พร้อมยืนยันด้วยว่า ยุทโธปกรณ์ที่ตรวจยึดได้ แม้บางส่วนจะดูเก่า แต่ไม่ใช่เป็นอาวุธรุ่นโบราณ เพียงแต่มีสภาพทรุดโทรมจากการเก็บรักษาที่ไม่ดี
คณะทูตานุทูต ส่วนหนึ่งได้สอบถามเจ้าหน้าที่ ทั้งสถานที่ที่ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล อานุภาพของทุ่นระเบิด และประเทศที่ผลิตทุ่นระเบิดดังกล่าว
ช่วงท้ายของการเยี่ยมชม เจ้าหน้าที่ทหารเรือ ยังได้สาธิตวิธีการเก็บกู้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคลให้คณะผู้สังเกตการณ์ได้รับชมด้วย
จากนั้น ยังได้ลงพื้นที่ เพื่อสังเกตการณ์บ้านเรือนของประชาชน ในอำเภอกันทรลักษ์ ที่ได้รับผลกระทบจากจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ที่ไม่เลือกเป้าหมายของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่จุดดังกล่าว อยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนประมาณ 5 กิโลเมตร โดยบริเวณตำบลเสาธงชัย เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกกระสุนของฝั่งกัมพูชาหนาแน่นที่สุด มีบ้านเรือนของประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก แต่สาเหตุที่ทำให้มีจำนวนผู้ได้รับผลกระทบบาดเจ็บน้อย เนื่องจาก พื้นที่ได้มีการอพยพประชาชนไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยก่อน เพราะกัมพูชาได้มีการโจมตีในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ก่อน จึงสามารถรักษาชีวิตของประชาชนไว้ได้ แต่ปัจจุบันประชาชนได้กลับเข้าพักที่อาศัยของตนแล้ว แต่บ้านเรือนที่เสียหายบางหลัง ก็ยังไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้ ซึ่งประชาชน ยังต้องไปพำนักอยู่กับญาติ