ไม่พบผลการค้นหา
"ปิยบุตร" ระบุ "กองทัพ - ศาล - คสช." ควรถูกปฏิรูปที่สุด ชี้แผนนอกระบบทำให้เกิด ซูเปอร์รัฐบาล - สร้างอุตสาหกรรมปฏิรูป - ส.ว. อยู่เหนือ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง

ที่รัฐสภาชั่วคราว บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ อภิปรายรายงานผลการดำเนินการตามแผนปฏิรูปประเทศตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 ที่ให้ ครม.แจ้งความคือบหน้าการปฏิรูปประเทศให้สภาผู้แทนราษฎรรับทราบ ทุก 3 เดือน โดยระบุว่า รายงานแผนปฏิรูปที่พูดมาทั้งหมดตลอด 2 วัน และจากที่ได้ไปอ่านเอกสารจะมีหน่วยงาน 3 หน่วยงานหลักๆ ที่ไม่ถูกพูดถึงในการปฏิรูป ทั้งๆ ที่ผ่านมาทั้ง 3 หน่วยงานนี้ ถูกตั้งคำถามอย่างมากจากประชาชนและสื่อมวลชน นั่นคือ 1.กองทัพ ที่ออกมาทำรัฐประหารบ่อยครั้ง เราต้องปฏิรูปว่าทำอย่างไรให้กองทัพสอดคล้องกับประชาธิปไตย เคารพหลักสิทธิมนุษยชน 2.ศาลถูกตั้งคำถามตลอด 13 ปีที่ผ่านมา และ 3. คสช. ซึ่งหัวหน้า คสช. นั้นเป็นบุคคลที่ควรถูกปฏิรูปที่สุด 

นายปิยบุตร กล่าวว่า จากการพิจารณาลักษณะแผนการปฏิรูป มีที่น่าสังเกตอยู่ 3 ข้อ นั่นคือ 1.ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าซูเปอร์รัฐบาล 2. สร้างอุตสาหกรรมการปฏิรูป และ 3. ทำให้วุฒิสภาขึ้นมาขี่คออยู่เหนือสภาผู้แทนราษฎร ดังนี้

1.ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าซูเปอร์รัฐบาล ในสภาวะปกติ เรามีการเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากของ ส.ส.เลือกนายกรัฐมนตรี ได้รัฐบาลมาบริหารประเทศ ซึ่งในบางเรื่องก็เชิญผู้เชี่ยวชาญมาเป็นที่ปรึกษาช่วยดำเนินการ เช่นที่ผ่านก็มามีสภาพัฒน์ฯ ที่จัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นี่คือระบบปกติซึ่งเราก็สามารถปฏิรูปประเทศกันได้ แต่ก็ถูกทำให้เกิดไม่ปกติ คือ การสร้างการปฏิรูประบบพิเศษขึ้นมา นั่นคือ มีรัฐประหารเกิดขึ้น

โดยอ้างเรื่องการปฏิรูป มีการตั้งคณะกรรมการปฏิรูป เกิดระบบรัฐซ้อนรัฐ คือ 1 มีรัฐบาลปกติที่มาจากการเลือกตั้ง แต่อำนาจน้อยมากและถูกลิดรอนลงไปเรื่อยๆ เพราะอีก 1 รัฐคือ รัฐ คสช. ซึ่งเป็นกระบวนการแปลงให้เป็นรัฐทหารมากขึ้น มีคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ ที่มีนายทหารเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก และก็มีคณะปฏิรูปที่มากำกับรัฐบาลซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนอีกที ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีที่มาจากพวกเดียวกันก็ไปกันด้วยดี แต่ถ้าเป็นคนละฝ่ายเกิดปัญหา

"รัฐซ้อนรัฐแบบนี้ คณะรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็นคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เลย เพราะสิ่งที่หาเสียงกับประชาชนอาจไม่ถูกนำไปใช้ถ้าไม่สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศ ทำให้รัฐมนตรีมีสถานะกลายไปเป็นเป็นซูเปอร์ปลัด ถูกกรรมการหลายๆ คนในแผนการปฏิรูปสั่งข้ามหัวไปหมด คำถามคือคณะรัฐมนตรี ซึ่งสภาผู้แทนเลือกนายกรัฐมนตรี และนายกรัฐมนตรีเลือกคณะรัฐมนตรีมาบริหารประเทศ ซึ่งเชื่อมโยงกับประชาชนนั้น ทำหน้าที่อะไร แค่ติดตามงานตามแผนปฏิรูปที่ถูกวางไว้แล้วแค่นั้นเหรอ แบบนี้ ตำแหน่ง รัฐมนตรี ซึ่งควรจะเป็นผู้บริหารจะกลายเป็นเพียงคนติดตามงาน เป็นการลดทอนคุณค่าศักดิ์ศรีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนอย่างมาก" นายปิยบุตร กล่าว 

2. สร้างอุตสาหกรรมการปฏิรูป โดยหลังจากมีการรัฐประหารเกิดขึ้น จะมีการตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา มีการตั้งหน่วยงาน มีการประชุม มีการจ่ายเงินเดือน จ่ายเบี้ยประชุมต่างๆ ทำรายงานออกมาปึกๆ ซึ่งจะวนเวียนอยู่อย่างนี้ โดยได้ผลลัพธ์ของการปฏิรูปคือกองกระดาษโตๆ และมีคนเดิมๆ ที่วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาในอุตสาหกรรมการปฏิรูป

3. ทำให้วุฒิสภาขึ้นมาขี่คออยู่เหนือสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 บอกว่า คณะรัฐมนตรีต้องมีการรายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนปฏิรูปประเทศต่อสภาผู้แทนราษฎรทุกๆ 3 เดือน ส.ส.ทำได้เพียงนั่งและอภิปรายแบบนี้ เสร็จแล้ว 3 เดือนค่อยมาพบกันใหม่ หากแต่วุฒิสภา หรือ ส.ว. กลับมีอำนาจติดตามเสนอแนะและเร่งรัด และที่สำคัญคือเวลาที่มีการออกกฎหมายปฏิรูปก็ใช้กระบวนการนิติบัญญัติแบบพิเศษ คือใช้ที่ประชุมร่วมกันของ 2 สภา ปกติเริ่มสภาผู้แทนราษฎรแล้วไปที่วุฒิสภา คุณทำได้เพียงถ่วงดุลเล็กๆ น้อยๆ สุดท้ายอำนาจอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎร

ดังนั้น นี่คือการลิดรอนอำนาจ ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน อย่างชัดเจน รวมถึงหากเกิดมีข้อสงสัยว่าเป็นกฎหมายปฏิรูปใช่หรือไม่ ก็สามารถเข้าชื่อประธานร้องต่อสภา ให้ตั้งกรรมาธิการพิจารณาร่วมกัน โดยที่ประธานกรรรมาธิการชุดนั้น คือ ประธานวุฒิสภา นี่คือตัวอย่างที่ ส.ว. เข้ามาครอบงำ ส.ส. มากขึ้นเรื่อยๆ 

"ทุกวันนี้ ส.ส. กำลังถูกลิดรอนอำนาจ เราถูกดูถูก ถูกกล่าวหาตลอดเวลาว่าไม่ดี จนทำให้เกิดการยึดอำนาจโดยอ้างว่าต้องเข้ามาปฏิรูปประเทศ ผมอยากบอกกับ ส.ส.ทุกท่านว่า นักการเมืองจากการเลือกตั้ง เรามาจากการเลือกตั้งของประชาชน ต้องผนึกกำลังป้องกันไม่ให้องค์กรแปลกปลอมเข้ามา มิใช่คอยเปิดประตูให้เขาเข้ามาแทรกแซงอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดาย เช่น การที่ไม่มีการบรรจุญัติตรวจสอบที่มา ส.ว.ในการพิจารณา" นายปิยบุตรกล่าว 

ปฏิรูปที่ไม่เห็นหัวประชาชน

นายปิยบุตร กล่าวว่า เรื่องการปฏิรูปประเทศในประเทศไทย แยกไม่ออกจากการรัฐประหาร การปฏิรูปประเทศครั้งนี้เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 การรัฐประหารทุกครั้งไม่มีความชอบธรรม ก็จะต้องมีการหาข้ออ้างให้ชอบธรรม ซึ่งทุกครั้งก็คือ นักการเมืองไม่ดี มีความขัดแย้ง คณะรัฐประหารจำเป็นต้องมาปฏิรูป คำว่าปฏิรูปของไทยไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่ารีฟอร์ม แต่เป็นเพียงข้ออ้างการรัฐประหาร คำว่าปฏิรูปเป็นเพียงข้ออ้างครองอำนาจรัฐประหาร เป็นกลไกการสืบทอดอำนาจ และที่สำคัญคือ เป็นการนำเอาระบอบรัฐประหารมาฝังตัวในรัฐธรรรมนูญฉบับนี้ ทำให้การรัฐประหารถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเสมอ นี่คือการปฏิรูปที่เกิดขึ้นในยุค คสช.

"การปฏิรูปที่ไม่เห็นหัวประชาชน เวียนวนกับคนไม่กี่คนซ้ำๆ เดิมๆ กับเทคโนแครตเจ้าประจำ กับข้าราชการประจำ กับนักวิชาการหน้าเดิม กับ ส.ว. ตลอดชีพที่แต่งตั้งวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาตลอด ซึ่งถ้าลองไล่เรียงดูตั้งแต่รัฐประหารปี 2549 ก็จะเห็นแต่คนเหล่านี้แทบเดินชนกัน เห็นรายชื่ออยู่ในเอกสารการประชุมทุกครั้ง ความเวียนวน ซ้ำไปซ้ำมาของสิ่งที่เรียกว่าการปฏิรูปนี้เอง ส่งผลให้เกิดซุปเปอร์รัฐบาล ทำให้ราชการเหนือนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาน เกิดรัฐซ้อนรัฐ เกิดการที่วุฒิสภาขี่คอสภาผู้แทนราษฎร"

นายปิยบุตร กล่าวว่า อยากเชิญชวน ส.ส.ทุกท่าน เราเป็นองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐเพียงองค์กรเดียวที่มาจากการเลือกตั้ง ใช้อำนาจแทนประชาชน นี่คือความศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า เราสามารถปฏิรูปได้ในระบบปกติ ไม่ต้องใช้ระบบพิเศษ ไม่ต้องเปิดประตูเชิญคณะรัฐประหารเข้ามาปฏิรูป แข่งขันกันในระบบปกติ รณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ได้เสียงข้างมากมาเป็นรัฐบาล เสียงข้างน้อยเป็นฝ่ายค้าน มีรัฐบาลเข้าบริหารประเทศ ฝ่ายค้านทำหน้าที่ตรวจสอบ สิ่งเหล่านี้คือการปฏิรูปในระบบปกติ

"อยากเชิญชวนมาเริ่มต้นปฏิรูปด้วยกันเอง ด้วยแรงของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจากประชาชน ไม่จำเป็นต้องอาศัยทหาร ไม่จำเป็นต้องอาศัย ส.ว.ที่มาจากการแต่งตั้ง" เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่กล่าว