กองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อวันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2568 เวลา 10.00 นาฬิกา กองบัญชาการกองทัพไทย จัดการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ณ อาคารอเนกประสงค์ สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กองบัญชาการกองทัพไทย โดยมี พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานการประชุม พร้อมด้วยผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง
โดยก่อนการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้มีการประชุมคณะผู้บัญชาการทางทหาร (คบท.) ครั้งที่ 5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2568 โดยมีประเด็นที่สำคัญ 3 ประเด็นดังนี้
1. การปิดจุดผ่านแดนถาวรและจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา โดย ที่ประชุม คบท. เห็นชอบให้คงสภาพปัจจุบันในการปิดด่าน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย หรือกัมพูชาไม่เป็นภัยคุกคามต่อไทยอีกต่อไป
2. เห็นว่าปัจจุบันกัมพูชายังถือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ จึงจัดทำรั้วชายแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งมีข้อสรุปสำหรับการสร้างรั้วชายแดน เห็นควรสร้างในพื้นที่เส้นเขตแดนที่ทั้งสองฝ่ายตกลงกันได้แล้ว สำหรับในพื้นที่ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ จะใช้มาตรการลาดตระเวนและเฝ้าตรวจอย่างต่อเนื่องรวมทั้งให้มีการสร้างเส้นทางยุทธวิธีตลอดแนว
3. แนวทางดำเนินการต่อการละเมิดอธิปไตยของไทย โดยมีข้อสรุปดังนี้ คือ การดำเนินการตามกฎการใช้กำลังสากล (ROE — Rules of Engagement) เมื่อการกระทำเข้าข่ายการกระทำที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Act) หรือเจตนาที่เป็นปรปักษ์ (Hostile Intent) โดยเฉพาะหากเป็นการสอดแนมหรือเตรียมโจมตี ซึ่งตามกฎการใช้กำลัง สามารถใช้เป็นเหตุเริ่มการป้องกันตนเองได้ โดยได้วางมาตรการทั้งเชิงรุกและเชิงรับ ทั้งนี้ ได้นำเสนอแนวทางการปฏิบัติไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแล้ว
จากนั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้เป็นประธานในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพ โดยได้กล่าวแสดงความขอบคุณ กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ร่วมกันปฏิบัติภารกิจในการสนับสนุนรัฐบาลอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณแนวชายแดนในทุกสถานการณ์ พร้อมย้ำถึงความจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งทุกเหล่าทัพได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและพร้อมสนับสนุนกองทัพบกในทุกมิติ โดยในวันนี้ ที่ประชุมฯ ได้นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาระบบอากาศยานไร้คนขับ และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ มีสาระสำคัญดังนี้
กองบัญชาการกองทัพไทย นำเสนอความคืบหน้างานวิจัยพัฒนาระบบอากาศยานไร้คนขับ (UAS) และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (CUAS) ของกองทัพไทย ซึ่งได้บูรณาการความร่วมมือกับผู้ประกอบการภาคเอกชนและสถาบันการศึกษาภายในประเทศ ในการพัฒนา Drone โจมตีเชิงรุก และระบบต่อต้าน Drone เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจทางทหารทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อพัฒนาไปสู่สายการผลิต อันจะนำไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน และสนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทย ตลอดจนมีการบูรณาการการวิจัยวัตถุระเบิด และชนวนเพื่อติดตั้งบน UAS รูปแบบต่าง ๆ และการพัฒนาบังเกอร์ที่ผลิตจากคอนกรีตสมรรถนะสูงพิเศษ (UHPC) เสริมเส้นใยเหล็กกำลังดึงสูง ซึ่งจะช่วยเพิ่มความอยู่รอดในสนามรบให้กับกำลังพลในแนวหน้า นอกจากนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย ยังอยู่ระหว่างการบูรณาการร่วมกับเหล่าทัพในการจัดทำร่างหลักนิยม UAS และ CUAS เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางพัฒนาขีดความสามารถต่อไป รวมถึงอยู่ระหว่างพิจารณาสนับสนุนให้มีการฝึก การทดสอบ และการแข่งขันการใช้ Drone และ Anti-Drone อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดสภาวะที่เกื้อกูลต่อการพัฒนาความสามารถอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
กองทัพบก นำเสนอการพัฒนาระบบอากาศยานไร้คนขับ และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับของกองทัพบก จากสภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงในปัจจุบันที่มีความซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กองทัพบกตระหนักถึงภัยคุกคามและความท้าทายที่เกิดจากการใช้อากาศยานไร้คนขับ โดยกำหนดแนวทางการเสริมสร้างขีดความสามารถอย่างมีระบบและต่อเนื่อง โดยปี พ.ศ. 2567 ได้กำหนดแนวความคิดในการใช้งานอากาศยานไร้คนขับในอนาคต ครอบคลุมทั้งภารกิจการป้องกันประเทศและการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม (Military Operations Other Than War) พร้อมทั้งวางแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถตามหลักคิดการพัฒนาขีดความสามารถทางทหารแบบองค์รวม DOTMLPF (Doctrine, Organization, Training, Materiel, Leadership, Personnel, Facilities) แบ่งขั้นการดำเนินการออกเป็น 4 ระยะ ปัจจุบันอยู่ในระยะกลาง ประกอบด้วย การปรับปรุงหลักนิยมของหน่วยและเหล่าสายวิทยาการ การจัดตั้งหน่วยเฉพาะกิจ เพื่อทดลองปฏิบัติการการเสริมสร้างหน่วยด้านยุทโธปกรณ์
กองทัพบก ยังได้กำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้อากาศยานไร้คนขับและระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (Counter Unmanned Aircraft Systems : C-UAS) ซึ่งมีแนวคิดในการบริหารจัดการ UAV โดยแบ่งประเภทตามขนาดและบทบาทของหน่วยในโครงสร้าง 5 กลุ่ม ประกอบด้วย UAV ขนาดใหญ่ สำหรับการปฏิบัติการทางลึก การลาดตระเวนเฝ้าตรวจและติดอาวุธโจมตี, UAV ขนาดกลาง สำหรับการลาดตระเวนเฝ้าตรวจและค้นหาเป้าหมายให้กับหน่วยระดับกองพล, UAV ขนาดเล็ก สำหรับหน่วยยานยนต์/ยานเกราะ ใช้ในการลาดตระเวนและกำหนดที่ตั้งเป้าหมาย, UAV ขนาดเล็กมาก สำหรับหน่วยทหารราบ และ UAV ขนาดเล็กพิเศษ สำหรับหน่วย
ที่มีความมุ่งหมายพิเศษสำหรับการต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ
ในการนี้ กองทัพบก ได้จัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการอากาศยานไร้คนขับ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก, ศูนย์ปฏิบัติการอากาศยานไร้คนขับ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาคที่ 2 และกองร้อยอากาศยานไร้คนขับเฉพาะกิจ กองกำลังสุรนารี เพื่อทดสอบและทดลองการปฏิบัติของหน่วยอากาศยานไร้คนขับ เริ่มตั้งแต่ 1 เมษายน พ.ศ. 2568
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา กองทัพบก อยู่ระหว่างการจัดตั้งศูนย์สงครามอากาศยานไร้คนขับ และกองพันอากาศยานไร้คนขับ เพื่อเป็นหน่วยรับผิดชอบอำนวยการ วางแผน ควบคุม กำกับดูแล และบูรณาการการใช้งาน UAV ของกองทัพบก โดยทดลองปฏิบัติระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2568-31 มีนาคม พ.ศ. 2569
กองทัพเรือ นำเสนอแนวความคิดการใช้อากาศยานไร้คนขับ (UAS) และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS) ตามแนวทางการใช้กำลังของกองทัพเรือ พ.ศ. 2563 กองทัพเรือได้ดำเนินการเกี่ยวกับ UAS ให้สอดคล้องกับการเข้าประจำการของแต่ละแบบ โดยใน พ.ศ. 2564 ได้จัดทำแนวความคิดการใช้งาน UAS ของกองทัพเรือ เพื่อเป็นกรอบปฏิบัติแก่หน่วยต่าง ๆ ทั้งด้านการเตรียมกำลังและการใช้กำลัง ต่อมาใน พ.ศ. 2565 ได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการ UAS ของกองทัพเรือ เพื่อกำกับดูแลการใช้ UAS ในภาพรวม โดยมีเป้าหมายให้ UAS สนับสนุนภารกิจได้อย่างปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า ในปัจจุบันกองทัพเรือ มี UAS ประจำการอยู่ 3 แบบ ได้แก่ UAS ขนาดเล็กที่สนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยทางยุทธวิธี เฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับตรวจการณ์ชี้เป้าแบบที่ 1/ Schiebel Camcopter S-100 และเครื่องบินไร้คนขับตรวจการณ์และชี้เป้าแบบที่ 1 / RQ-21A Blackjack ซึ่งทั้ง 2 แบบ มีภารกิจในการสนับสนุนในการตรวจการณ์ในภารกิจของกองทัพเรือ จากแนวทางการป้องกันและต่อต้าน UAS กองทัพเรือได้กำหนดทิศทางพัฒนาขีดความสามารถ C-UAS โดยต้องมีระบบที่สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามในทุกพื้นที่ โดยเฉพาะการพัฒนาในพื้นที่ฐานทัพเรือสัตหีบ และกองบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรี-ตราด โดยประเมินยุทธศาสตร์เพื่อใช้เป็นแนวทางการเสริมสร้างและพัฒนากองทัพและขีดความสามารถในมิติทางทะเลของกองทัพเรืออย่างต่อเนื่อง
กองทัพอากาศ ตระหนักถึงเทคโนโลยีและขีดความสามารถของอากาศยานไร้คนขับที่จะกลายเป็นกำลังรบหลักทางอากาศในอนาคต โดยมี “แนวความคิดในการปฏิบัติภารกิจระบบอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ พ.ศ. 2566 หรือ UAS CONOPs พร้อมกำหนดแผนการพัฒนากิจการอากาศยานไร้คนขับของกองทัพอากาศ ระยะ 25 ปี 2566-2590 ในปัจจุบันได้พัฒนาขีดความสามารถระบบอากาศยานไร้คนขับด้วยการจัดหาพร้อมการพัฒนาจากต่างประเทศ นอกจากการพัฒนาอากาศยานไร้คนขับแล้ว ยังตระหนักถึงภัยคุกคามของอากาศยานไร้คนขับ จึงได้พัฒนาขีดความสามารถ การต่อต้านอากาศยานไร้คนขับบนแนวความคิด “การป้องกันภัยทางอากาศแบบบูรณาการ หรือ Integrated Air Defense System” ด้วยการนำความได้เปรียบของระบบเครือข่ายทางยุทธวิธีมาใช้ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างระบบบัญชาการและควบคุมระบบตรวจจับเป้าหมายทางอากาศและระบบต่อสู้อากาศยาน รวมทั้งระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ โดยได้กำหนดเขตในการป้องกันทางอากาศตามขีดความสามารถของยุทโธปกรณ์ที่มี จัดหาระบบการป้องกันภัยทางอากาศระยะปานกลาง รวมถึงระบบตรวจการณ์และเรดาร์ที่สามารถเชื่อมโยงระบบบัญชาการและควบคุม และจัดหาอาวุธต่อสู้อากาศยานระยะกลางและระยะใกล้ในการป้องกันที่ตั้งทางทหาร รวมทั้งจัดหาระบบ ต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ หรือ Anti Drone เพื่อป้องกันพื้นที่ให้กับบุคคลสำคัญอีกด้วย จากสถานการณ์ความไม่สงบไทย-กัมพูชา กองทัพอากาศได้รับมอบหมายจากที่ประชุม สมช. ให้ดำเนินการทบทวน กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งกองทัพอากาศดำเนินการจัดประชุมร่วมกับเหล่าทัพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภายนอกอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการบริหารจัดการ ควบคุม และต่อต้านอากาศยานไร้คนขับอย่างบูรณาการ โดยบูรณาการการปฏิบัติตั้งแต่การออกกฎหมาย การขึ้นทะเบียนการอนุญาต การควบคุมและการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้การใช้งานอากาศยานไร้คนขับเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดำเนินการแก้ไขปัญหาเป็น 2 ระยะ โดยให้นำเสนอข้อมูลต่อศูนย์เฉพาะกิจฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา และสภาความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อขออนุมัติดำเนินการแนวทางการแก้ไขปัญหาอากาศยานไร้คนขับ 2 ระยะ ดังนี้ ในระยะเร่งด่วน ดำเนินการจัดตั้งในรูปแบบคณะกรรมการบริหารจัดการ ควบคุม และต่อต้านอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินแห่งชาติ ภายใน 1 เดือน ในระยะยั่งยืน ดำเนินการในรูปแบบศูนย์บริหารจัดการ ควบคุมและต่อต้านอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินแห่งชาติ ภายใน 6 เดือน แนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะเร่งด่วนและดำเนินการในสภาวะไม่ปกติ ขับเคลื่อนในรูปแบบคณะกรรมการบริหารจัดการควบคุมและต่อต้านอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินแห่งชาติ ภายใต้สภาความมั่นคงแห่งชาติ สำหรับแนวทางการแก้ไขปัญหาในระยะยั่งยืนและดำเนินการในสภาวะปกติ ขับเคลื่อนในรูปแบบหน่วยงานศูนย์บริหารจัดการควบคุม และต่อต้านอากาศยานซึ่งไม่มีนักบินแห่งชาติ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมปฏิบัติดำเนินการตั้งแต่ขั้นการพัฒนากฎหมาย ให้รองรับกับการใช้งานโดรนในปัจจุบัน การเข้าลงทะเบียน การออกใบอนุญาต การอนุญาตการปฏิบัติ และการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อให้การใช้งานโดรนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการพัฒนาขีดความสามารถ “การใช้อากาศยานไร้คนขับ (UAS) และระบบต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ (C-UAS)” ในภารกิจต่าง ๆ ได้แก่ การถวายความปลอดภัย สำรวจพื้นที่เสด็จ เส้นทางเสด็จ การถวายความปลอดภัย (ถปภ.) ทางอากาศ งานสืบสวนและความมั่นคง หาข่าวหรือสังเกตการณ์ งานป้องกันปราบปราม
วางแผนการป้องกันอาชญากรรม สายตรวจทางอากาศพื้นที่ที่เป็นจุดเสี่ยง งานจราจร สำรวจเส้นทางการจราจรและอำนวยความสะดวกการจราจร งานสอบสวน การตรวจสอบที่เกิดเหตุ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐาน (Mapping 3D) งานบรรเทาสาธารณภัย การบินเพื่อค้นหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย และงานอำนวยการ การทำแผนที่มุมสูง แบบ 2 หรือ แบบ 3 มิติ เพื่อวางแผนปฏิบัติการ สถานะเครื่องมือและโซนการใช้ โดยปัจจุบันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีระบบ Anti-Drone แบบรถยนต์ โดยได้แบ่งมอบภารกิจให้ดูแลพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศตามพื้นที่ในการสอบสวนดำเนินคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบบควบคุมและต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ Anti-Drone ตามมาตรการเชิงรุกเกี่ยวกับโดรนในพื้นที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความพร้อมที่จะสนับสนุนการปฏิบัติงานในภารกิจของกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ
ในการปฏิบัติทุกภารกิจอย่างสุดความสามารถ เพื่อพร้อมที่จะดูแลประชาชนและประเทศชาติต่อไป
ในโอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวขอบคุณความร่วมมือจากทุกเหล่าทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ได้ร่วมกันวิเคราะห์ศึกษาด้านภัยคุกคามในมิติต่าง ๆ พร้อมทั้งสั่งการให้ทุกเหล่าทัพ ศึกษาภัยคุกคามทางด้านตะวันออกที่เกิดขึ้นในทุกมิติ แล้วกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ทางทหาร เพื่อตอบโต้ภัยคุกคาม ในระยะยาวต่อไป เพื่อเป็นแนวทางการพัฒนากองทัพไทยร่วมกันต่อไป ควบคู่กับเทคโนโลยีที่นำมาประยุกต์ใช้ในการสร้างขีดความสามารถให้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง และได้เน้นย้ำให้เหล่าทัพ ปฏิบัติตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงกลาโหมด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจ ทุ่มเทและเสียสละเพื่อประโยชน์ต่อประเทศชาติ ประชาชนและสถาบันพระมหากษัตริย์ ดำรงการสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนอย่างเต็มที่ รวมทั้งเร่งดำเนินการจัดหายุทโธปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พัฒนากำลังพลให้มีความรู้ความสามารถ เพื่อรองรับภัยคุกคามในอนาคตได้ทุกรูปแบบ
กองทัพไทย ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ใช้วิจารณญาณในการรับข้อมูลข่าวสาร และร่วมเป็นพลังสำคัญในการธำรงความมั่นคง สันติสุขและความสามัคคีของชาติไทยอย่างยั่งยืน