ไม่พบผลการค้นหา
ประชากรจีนจะแตะจุดสูงสุดในปี 2566 โดยมากกว่า 1.4 พันล้านคน เนื่องจากยกเลิกนโยบายมีลูกคนเดียว ทำให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเด็กจะได้ผลกระทบ

งานวิจัยชิ้นใหม่จากสถาบันความเป็นเลิศทางจำนวนประชากรโลกชี้ให้เห็นว่า จำนวนประชากรของประเทศจีนจะพุ่งสูงสุดในปี 2566 ซึ่งเร็วกว่าการคาดการณ์เดิมที่จะเกิดขึ้นในปี 2571 หากตัวเลขเป็นไปตามงานวิจัยชิ้นใหม่นี้ ประเทศจีนจะมีจำนวนประชากรสุงสุดที่เพียงมากกว่า 1.4 พันล้านคนเท่านั้น และในปี 2571 จะมีจำนวนเด็กอายุ 9 ปี ลงไป ลดลงถึงร้อยละ 17 

ในปี 2561 ประเทสจีนมีอัตราการเกิดลดลงถึงร้อยละ 11 อยู่ที่เพียง 15.2 ล้านคน ซึ่งสาเหตุหลักที่จำนวนประชากรเกิดใหม่ของประเทศลดลงถึงเกือบ 2 ล้านคนภายในเวลา 1 ปี มาจากการผ่อนมาตรการลูกคนเดียวในปี 2556 ของรัฐบาลจีน ทำให้อัตราการเกิดในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาจนถึงปี 2561 พุ่งสูงกว่าการประเมิณไว้ถึง 11 ล้านคน แต่เห็นได้ชัดว่ามาตรการผ่อนปรนการมีลูกคนเดียวเริ่มใช้ไม่ได้ผลแล้ว

ผลกระทบของการเตะจุดสูงสุด

การแตะจุดสูงสุดของจำนวนประชากรจะสร้างความกังวลใจอย่างหนักให้บริษัทที่เกี่ยวข้องกับเด็กไม่น้อย ตั้งแต่ธุรกิจสอนพิเศษไปจนถึงบริษัทผลิตของเล่น นี่ยังเป็นแรงต้านขนาดมหึมาสำหรับบริษัทที่หวังดำเนินธุรกิจไปพร้อมกับการขยายตัวของครอบครัวจีน อาทิ อาลีบาบา-แบ็ค เบบี้ทรี เว็บไซต์เพื่อพ่อแม่ นอกจากนี้รัฐบาลยังได้รับผลกระทบในเชิงนโยบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดการกับตัวเลขผู้รับเงินบำนาญที่เพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาไม่ได้มีแต่แง่ลบเท่านั้น การแตะจุดสูงสุดของประชากรครั้งนี้ยังเป็นการบ่งบอกถึงความสำเร็จทางเศรษฐศาสตร์ที่สะท้อนให้เห็นความมั่งคั่งและการศึกษาที่ดีขึ้นซึ่งมีความสัมพันธ์กับอัตราการเกิดที่ลดลง การลดลงของจำนวนประชากรเด็กยังหมายถึงการมีทรัพยากรมากขึ้น อาทิ ทางด้านการศึกษา อีกทั้งยังหมายถึงโอกาสในการทำงานที่มากขึ้นของเพศหญิงและการมีเงินมากขึ้นในครอบครัวของกลุ่มหนุ่มสาว 

แม้ว่าตัวเลขจะบ่งบอกอย่างชัดเจน แต่กว่าผลกระทบจะรู้สึกได้จริงยังคงต้องใช้เวลามากกว่าทศวรรษ ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลจีนจะสามารถจัดการกับการเดินหน้าสู่สังคมผมขาวได้ 

นอกจากจีนจะเดินหน้าเข้าสู่สังคมสูงอายุแล้ว หลังปี 2566 ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งประกอบไปด้วย เกาหลี ญี่ปุ่น ไต้หวัน และจีน จะมีจำนวนประชากรแตะจุดสูงสุดเช่นเดียวกัน ซึ่งรัฐบาลของแต่ละประเทศจำป็นต้องวางแผนรับมือให้ดี

อ้างอิง; CNBC, Reuters