วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก วันนี้ (3 กันยายน 2568) โดยระบุว่า
“การถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎร”
ผมได้พูดคุยกับท่าน ศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญกฎหมายมหาชน ท่านให้ข้อคิดเป็นความเห็นทางกฎหมายที่สำคัญ ที่นักกฎหมายทั้งหลายและคนในสังคมให้ความสนใจ ซึ่งเป็นอีกมุมมองทางกฎหมายที่น่าสนใจและมีเหตุมีผลตามหลักกฎหมาย ที่ท่านอาจารย์อธิบายให้เข้าใจง่าย เชื่อว่าคนไม่ใช่นักกฎหมายก็เข้าใจได้ ดังนี้ครับ
1.ประเด็นเกี่ยวกับสถานะและอำนาจของรัฐบาลนายภูมิธรรม
เมื่อนางสาวแพทองธารพ้นจากตำแหน่งคณะรัฐมนตรี ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ แต่รัฐมนตรีทุกคนเว้นนางสาวแพทองธาร ต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 168 โดยมีผู้ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี คือ นายภูมิธรรม ซึ่งทำหน้าที่ "ตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรี" โดยที่มาตรา 168 ไม่ได้กำหนดข้อจำกัดการใช้อำนาจของคณะรัฐมนตรี ในขณะนี้ไว้
คณะรัฐมนตรี นายภูมิธรรมในขณะนี้ แม้จะเป็นคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปภายหลังนายกรัฐมนตรีต้องพ้นตำแหน่ง เพราะนายกรัฐมนตรีแพรทองธาร ขาดคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามตามคำวินิจฉัยศาลธรรมนูญ แต่คณะรัฐมนตรีนายภูมิธรรม ก็มีอำนาจตามปกติ อำนาจของคณะรัฐมนตรี ที่ปฏิบัติหน้าที่ขณะนี้จะลดลงก็ต่อเมื่อมีการยุบสภาผู้แทนราษฎรหรือสภาผู้แทนราษฎรครบวาระ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น คณะรัฐมนตรีนายภูมิธรรมจะถูกจำกัดอำนาจ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 169 นอกจากนั้นในขณะนี้รัฐมนตรี ก็สามารถลาออกได้ตามที่ มาตรา 168ได้บัญญัติไว้
2.ประเด็นการถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรนั้น
ขณะนี้มีความเห็นว่า นายภูมิธรรมไม่อาจทำได้ เพราะเป็นเพียงรักษาการนายก ไม่ใช่คนที่สภาเลือกมา และมีประเพณีการปกครองห้ามนั้น ผมเห็นว่า นายภูมิธรรมซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีในขณะนี้ ย่อมมีอำนาจตามตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทุกประการ ด้วยเหตุที่ไม่มีบทบัญญัติใดตามรัฐธรรมนูญกำหนดข้อห้ามหรือจำกัดอำนาจของ "ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" ไว้
ผู้ซึ่งปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี จึงมีอำนาจตามตำแหน่งในอันที่จะถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาผู้แทนราษฎรได้ ไม่เกี่ยวกับการได้รับเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่ เพราะการยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการใช้อำนาจของประมุขของรัฐ คือ พระมหากษัตริย์ตามการถวายคำแนะนำ และมีฐานะเป็นคำสั่งในทางรัฐธรรมนูญให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดพร้อมกับการสิ้นสุดลงของคณะรัฐมนตรี โดยคณะรัฐมนตรี จะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปโดยมีอำนาจจำกัดลงตามมาตรา 169 แห่งรัฐธรรมนูญ โดยเหตุที่ไม่มีข้อจำกัดตามกฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรในการถวายคำแนะนำให้พระมหากษัตริย์ยุบสภาเช่นนี้ จึงมีผู้กล่าวอ้างประเพณีการปกครองมาเป็นข้อจำกัด ซึ่งเมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วเห็นว่าไม่มีประเพณีเช่นว่านั้น เนิ่องจากไม่เคยเกิดข้อถกเถียงเช่นนี้และไม่มีทางปฏิบัติในเรื่องนี้มาก่อน ประเพณีที่กล่าวอ้างจึงเป็นประเพณีในจินตนาการเท่านั้น
อันที่จริงแล้วการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญไปตามปกติธรรมดาในเรื่องนี้ เป็นหนทางในการแก้ปัญหาประการหนึ่ง เพราะอาจเกิดเหตุไม่คาดหมายขึ้นได้ เช่น แคนดิเดทนายกฯที่เหลืออยู่เกิดขาดคุณสมบัติทุกคน ถ้าจะอ้างว่า "ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี" จะต้องอยู่ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนสภาครบวาระโดยไม่อาจถวายคำแนะนำให้ยุบสภาได้ ดูจะเป็นการใช้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ประหลาด
การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการคืนอำนาจการตัดสินใจให้ปวงชนชาวไทย ไม่ควรถูกจำกัดโดยวิธีการใข้และการตีความกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดผลประหลาดหรือเกิดทางตันเช่นนี้
3.ประเด็นที่มีการข่มขู่ว่า ถ้าถวายคำแนะนำฯ จะแจ้งความดำเนินคดีหรือจะเอาเรื่องไปร้องศาลรัฐธรรมนูญนั้น
ก่อนจะดำเนินการดังกล่าวผู้ที่จะดำเนินการพึงเข้าใจว่า ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนและมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว การยุบสภา ก็เป็นอันเกิดขึ้นสมบูรณ์ ทำให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรย่อมสิ้นสุดลง และคณะกรรมการเลือกตั้งต้องประกาศวันเลือกตั้งภายในห้าวัน
ในทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ การยุบสภาผู้แทนราษฎรเป็นการกระทำทางการเมือง ที่เรียกกันว่า "การกระทำทางรัฐบาล" หรือ"การกระทำของรัฐบาล" ในระบบกฎหมายไทยการยุบสภาผู้แทนราษฎร แม้จะกระทำโดยพระราชกฤษฎีกาก็ตาม ก็ถือว่าเป็น "การกระทำทางรัฐบาล" อันมีลักษณะเป็นการกระทำทางการเมือง ซึ่งปลอดจากการตรวจสอบทางตุลาการ ร่องรอยของการยอมรับหลักเรื่องนี้ปรากฏในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ มาตรา 47(1) ที่กล่าวถึง การกระทำของรัฐบาล ซึ่งก็คือการกระทำทางรัฐบาลในความหมายที่ฝ่ายวิชาการใช้
ด้วยเหตุนี้ความกังวลที่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะเข้ามาสั่งคุ้มครองชั่วคราวหรือถึงกระทั่งจะสั่งให้การยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นผลให้คำสั่งของประมุขของรัฐในทางรัฐธรรมนูญเป็นโมฆะ จึงไม่อาจเป็นไปได้ตามสภาวการณ์ของระบบกฎหมายไทยในขณะนี้
ส่วนที่มีผู้เห็นว่า ในอดีตศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยให้การเลือกตั้งภายหลังการยุบสภาเป็นโมฆะมาแล้วนั้น เป็นคนละเรื่องกับประเด็นการสั่งให้การยุบสภาเป็นโมฆะ กรณีที่หากมีการถวายคำแนะนำ พระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยุบสภา และมีการลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ การยุบสภาย่อมเกิดขึ้น กรณีนี้เป็นการกระทำที่ไม่อาจหวนคืนได้ จะต้องเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งทั่วไป .
#ขอขอบคุณท่านอาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ เป็นอย่างสูงที่ให้ความรู้ทางความคิดเห็นในกฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายมหาชนที่ประเทศไทยยังแกว่งอย่างมีนัยยะสำคัญ
วิญญัติ ชาติมนตรี
3 กันยายน 2568