วันนี้ (2 กันยายน 2568) ที่ประชุมวุฒิสภา ลงมติให้ความเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ด้วยเสียง 151 ต่อ 1 เสียง ขณะที่ รมว.คลัง ยืนยันกำกับดูแลการใช้จ่ายให้เกิดความโปร่งใส พร้อมนำข้อเสนอแนะที่ได้ไปประกอบการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
ที่ประชุมวุฒิสภาเปิดให้สมาชิกอภิปรายร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว ประกอบกับการพิจารณาควบคู่กับรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาร่างกฎหมายฯ วุฒิสภา โดยมีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวนมากสนใจอภิปรายในช่วงเวลา 2 วัน (วันที่ 1-2 ก.ย. 68) แสดงความเห็นต่อการจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลแบ่งตามกลุ่มภารกิจ 6 ด้าน เป็นเรื่องของภาพรวม งบกลาง เงินคงคลัง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านความมั่นคง ด้านภัยพิบัติและทรัพยากรธรรมชาติ และด้านบริหารและอื่น ๆ ก่อนท้านที่สุดจะมีมติให้ความเห็นชอบกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 151 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง และเห็นด้วยกับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการฯ เพื่อส่งไปยังคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการต่อ สำหรับขั้นตอนจากนี้เมื่อวุฒิสภาส่งความเห็นไปยังรัฐบาลแล้วมีกรอบเวลาที่นายกฯ จะต้องรอไว้ 5 วัน ก่อนนำขึ้นทูลเกล้าฯ
ด้าน นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะผู้แทนรัฐบาล กล่าวขอบคุณสมาชิกวุฒิสภา ที่ให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2569 ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลยุทธศาสตร์ชาติแผนพัฒนาต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศมีความมั่นคง มีความสุขสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน และพัฒนาระบบบริหารจัดการภาครัฐที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนในทุกมิติ สำหรับข้อคิดเห็นคำแนะนำข้อเสนอรวมทั้งความห่วงใยที่ สว. ให้ข้อเสนอแนะ รัฐบาลจะนำไปประกอบการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานของหน่วยรับงบประมาณ เพื่อให้การจัดสรรทรัพยากรมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ประชาชนได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายงบประมาณมากที่สุด ทั้งนี้ ขอให้ความมั่นใจต่อวุฒิสภาว่านโยบาย มาตรการ และงบประมาณที่ได้ผ่านการพิจารณาในครั้งนี้จะนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์และแผนงานที่กำหนด โดยรัฐบาลจะกำกับดูแลเพื่อให้การใช้จ่ายมีความโปร่งใสตรวจสอบได้ และบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามนโยบายที่กำหนดไว้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามเจตนารมย์ของรัฐบาล