ไม่พบผลการค้นหา
จาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย มองย้อนเหตุการณ์รัฐประหารรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร 19 กันยายน 2549 19 ปีรัฐประหาร แต่ ความเสียหายยังต่อเนื่อง และยังไม่จบสิ้น

จาตุรนต์ ฉายแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดียทั้งแฟนเพจเฟซบุ๊ก Chaturon Chaisang และ X @chaturon วันนี้ (19 กันยายน 2568) ว่า 19 ปีรัฐประหาร : ความเสียหายต่อเนื่องที่ยังไม่จบสิ้น

ข้ออ้างในการทำรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อน มีหลายข้อซึ่งต่อมาก็ปรากฏแล้วว่า “ข้ออ้าง” ก็เป็นเพียงข้ออ้าง ฉากบังหน้าที่ไร้ทั้งเหตุและข้อเท็จจริงรองรับแม้แต่น้อย

สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อนคือ “ความกลัว”

“กลัว” การเลือกตั้ง

“กลัว” การตัดสินโดยประชาชน

“กลัว” พรรคไทยรักไทยและหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมมากขึ้นๆ จนมีเสียงเกินครึ่งหนึ่งของรัฐสภา

“กลัว”” กระบวนการที่พรรคไทยรักไทยสังเคราะห์นโยบายจากความต้องการของประชาชนแล้วนำมาใช้บริหารอย่างได้ผล จนกลายเป็นความสัมพันธ์แบบใหม่ระหว่างพรรคการเมืองและนักการเมืองกับประชาชนโดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงมาก่อน

“กลัว” ว่าผู้มีอำนาจมาแต่เดิมจะไม่สามารถกำหนดควบคุมความเป็นไปของบ้านเมืองได้อีกต่อไป

จากความกลัวเหล่านี้ จึงนำไปสู่จุดมุ่งหมายที่จะต้องทำให้สำเร็จให้ได้ ทั้งที่ประกาศอย่างเปิดเผยและที่ไม่ได้เปิดเผย

ที่ประกาศอย่างเปิดเผยคือ “แผนบันไดสี่ขั้น” ซึ่งโดยสรุปก็คือจะต้องป้องกันไม่ให้พรรคไทยรักไทยและนักการเมืองของพรรคกลับมามีอำนาจ แต่จะต้องให้บางพรรคการเมืองอื่นได้เป็นรัฐบาล

ที่ไม่ได้ประกาศออกมาตรงๆคือ “การเขียนรัฐธรรมนูญ” เพื่อให้มีระบบกลไกที่ผู้ที่ไม่มาจากการเลือกตั้งและไม่ยึดโยงกับประชาชน สามารถกำหนดความอยู่รอดของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งได้ตามใจชอบ

จุดมุ่งหมายที่ 1 นั้นล้มเหลวเพราะประชาชนส่วนใหญ่ไม่เออออด้วย จนต้องใช้กลไกที่สร้างไว้ตามจุดมุ่งหมายที่ 2 เข้าจัดการ ทำให้สามารถเปลี่ยนรัฐบาลไปได้ แต่ก็ถูกประชาชนปฏิเสธอีกในเวลาต่อมา

หากปล่อยให้เหตุการณ์บ้านเมืองเป็นไปตามกรอบของรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 การที่ผู้ที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนจะเข้ากำกับควบคุมความเป็นไปของบ้านเมืองอย่างเบ็ดเสร็จย่อมเป็นไปไม่ได้

นั่นจึงนำมาซึ่งการรัฐประหารครั้งที่ผ่านมา ในปี 2557

มองจากจุดหมุ่งหมายทั้งสองข้อดังกล่าว ผู้ที่ไม่เชื่อถือในระบอบประชาธิปไตย ไม่เชื่อถือในประชาชนและการเลือกตั้งย่อมถือว่าการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีที่แล้วเป็นการ “เสียของ”

หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 11 ปีครึ่งที่ผ่านมาก็เพื่อไม่ให้ "เสียของ”

สองคนยลตามช่อง คนหนึ่งมองว่า “เสียของ” ที่ไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย อีกคนมองว่าค่อยยังชั่วที่ไม่บรรลุจุดมุ่งหมาย ถ้าบรรลุจุดมุ่งหมายโดยไม่ "เสียของ” อาจเป็นความ “เสียหาย” ยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นไปแล้วมากนัก

จากความพยายามจะบรรลุเป้าหมายของการรัฐประหารเมื่อ 19 ปีก่อน ทำให้เกิดการทำลายพรรคการเมืองและนักการเมืองจำนวนมาก การปลดนายกรัฐมนตรีหลายคน การล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอันเป็นการหักล้างมติของประชาชนโดยขัดต่อหลักนิติธรรม ตลอดจนการเสื่อมถอยของหลักการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างอำนาจอธิปไตย องค์กรอิสระถูกทำให้ขาดความเป็นอิสระและความเที่ยงธรรม และความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรมของประเทศถูกกระทบอย่างร้ายแรง ทั้งหมดนี้มีรากจากการจัดทำรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งทำให้อำนาจอธิปไตยมิได้อยู่กับประชาชน และกำหนดให้องค์กรอิสระ ศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนมีอำนาจเหนือฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติ พร้อมทั้งตอกย้ำบทบาท “ตุลาการภิวัฒน์” ในการเข้ามาจัดการการเมืองจนบิดเบือนเจตจำนงของประชาชน

ที่น่าสลดใจอย่างมากเรื่องหนึ่งก็คือการรัฐประหารเมื่อ 19 ก่อนมีข้ออ้างอยู่ข้อหนึ่งคือจำเป็นต้องเข้าควบคุมสถานการณ์เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดความขัดแย้งรุนแรงขึ้น แต่หลายปีที่ผ่านมาปรากฏว่าความขัดแย้งในสังคมไทยกลับยิ่งทวีความหนักหน่วงรุนแรงมากขึ้นอย่างไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย

ความขัดแย้งที่ถูกนำมาเป็นข้ออ้างเพียงประการเดียวของการรัฐประหารครั้งล่าสุด

19 ปีที่ผ่านมาประเทศไทยตกอยู่ในสภาพถอยหลังและย่ำอยู่กับที่ ไม่มีรัฐบาลใดสามารถบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิผล บ้านเมืองขาดเสถียรภาพและมีความขัดแย้งแตกแยกที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะแก้ไขให้ดีขึ้นได้

ไม่อาจจินตนาการได้ว่าหากการรัฐประหารเมื่อ 19 กันยายน 2549 บรรลุจุดมุ่งหมายอย่างสมบูรณ์ จะเกิดความเสียหายร้ายแรงยิ่งกว่าที่ผ่านมาสักเพียงใด

ที่แน่ๆ เราได้เรียนรู้ว่าเมื่อเกิดการรัฐประหารขึ้นครั้งหนึ่ง ๆ นั้น สามารถมีผลเสียหายอย่างต่อเนื่องลึกซึ้งและยาวนาน ไม่ใช่แค่มีผู้ทำรัฐประหารผ่านมาแล้วก็ผ่านไปเพียงเท่านั้น

—----------

จาตุรนต์ ฉายแสง

อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย