นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คนที่ 30 พร้อมด้วย นายบัวขาว บัญชาเมฆ นักมวยไทยชื่อดังระดับตำนาน และนางสาวพาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโดหญิงทีมชาติไทยเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิค 2 สมัยซ้อน ร่วมเสวนาในหัวข้อ “กีฬาไทยจะไปทางไหนดี?” บนเวทีภายในงาน SPLASH soft power forum 2025 ที่จัดขึ้นที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 8 ถึง 11 กรกฎาคม 2568 โดยมีนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ในฐานะผู้ดำเนินรายการ
นายเศรษฐา ทวีสิน เริ่มต้นกล่าวว่า ตั้งแต่ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การพัฒนาการด้านกีฬาพัฒนาขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ก่อนหน้านี้เราอาจเห็นว่ามีแค่ฟุตบอลกับมวย ที่พอจะเป็นอาชีพมีรายได้ แต่วันนี้ เรามีกีฬาหลากหลายมากขึ้นเช่น มีเทคควันโดอย่างน้องเทนนิส ที่กลายเป็นนักกีฬาที่มีชื่อเสียง มีรายได้จากโฆษณาสินค้าเข้ามาอุดหนุน แต่นี่เพิ่งเป็นจุดเริ่มต้น
นายเศรษฐา กล่าวถึงกีฬาชนิดแรกคือ “มวยไทย” เพราะเป็นกีฬาเดียวที่ดูว่าจะมีคำว่า “ไทย” และคนไทยก็ภาคภูมิใจที่มวยไทยไปอยู่ในกีฬาระดับโลกได้ เริ่มต้น เริ่มต้นที่นักกีฬา เช่น คุณบัวขาวซึ่งอาจกล่าวได้ว่านี่คือตำนานในวันนี้ แต่ถ้าย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคุณบัวขาวก็คงจะสัก 10 ขวบกว่าๆ ด้านวิทยาศาตร์การกีฬา ด้านโภชนาการ การเทรนกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการชกมวย ซึ่งด้านเหล่านี้ รัฐบาลหรือหน่วยงานซอฟต์พาวเวอร์สามารถช่วยเหลือให้นักกีฬาเข้าถึงวิทยาศาสตร์การกีฬาได้มากขึ้น ส่วนเรื่องรายได้ของนักกีฬา ก็ปฏิเสธไม่ได้ เราต้องได้นักกีฬา ได้ค่ายสังกัดที่มีความจริงใจในการรักษาผลประโยชน์ให้นักกีฬา การที่จะต้องรู้กฎหมาย รู้สิทธิต่างๆ หรือจะพูดให้ไกลกว่านั้นคือพูดถึงการได้รับใบอนุญาตเพื่อให้เขาได้ประกอบอาชีพอย่างมั่นคง ก็จะช่วยนักกีฬาได้ในเชิงพาณิชย์
ส่วนในหน่วยงานรัฐ ก็ต้องยอมรับว่าบางทีก็ยังมีความซ้ำซ้อนกันอยู่ การแบ่งงบประมาณสนับสนุนนักกีฬาว่ากีฬาใดควรได้งบเท่าไร เหมาะสมไหม อันนี้ก็ต้องดูกันว่าเหมาะสมกันจริงหรือไม่
นพ.สุรพงษ์ ถามถึงการใช้วิทยาศาสตร์การกีฬา จะนำมาสนับสนุนนักกีฬาไทยกันอย่างจริงจังได้อย่างไร นายเศรษฐากล่าวว่าขอยกตัวอย่างนักฟุตบอล เจ ชนาธิป เป็นตัวอย่างเลยว่าจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวเพราะการที่คนหนึ่งจะลุกขึ้นมาเล่นกีฬาได้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ลุกขึ้นมาแล้วจะเตะฟุตบอลเลย แต่ต้องมีการวางแผนการฝึกซ้อม การโภชนาการ การฝึกสมรรถภาพทางร่างกาย ซึ่งแน่นอนว่าครอบครัวคือจุดเริ่มต้นเริ่มต้นที่บ้าน และองค์ความรู้ด้านกีฬาจึงมาต่อยอดที่โรงเรียนเป็นจุดเริ่มต้น และไทยก็มีวิทยาลัยพลศึกษาอยู่ ก็ควรได้จะได้
ในส่วนของการพัฒนานักกีฬาโดยการให้เงินรางวัลนั้นเป็นเรื่องปลายเหตุ ต้นเหตุคือควรต้องเอาเงินจากกองทุนพัฒนากีฬา นำไปแบ่งให้กับสมาคมกีฬาต่างๆ โดยอาจดูจากผลสัมฤทธิ์จากการแข่งขัน ผลงาน ซึ่งกองทุนพัฒนากีฬาต่างๆ ก็ต้องไปดู และต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งคือการจัดสรรงบประมาณเหล่านี้ยังดูเหลื่อมล้ำไม่ชัดเจน ก็ต้องฝากให้ผู้จัดการกองทุนเหล่านี้ได้ไปดูหลักเกณฑ์ต่างๆ ให้ชัด
ขณะเดียวกัน เราก็จะเห็นภาคเอกชนจำนวนมากที่สนับสนุนกีฬาอย่างจริงจังเช่น บ้านทองหยอด สนับสนุนกีฬาแบดมินตัน ภาครัฐบาลก็ควรให้การช่วยเหลือเช่นมาตรการลดหย่อนภาษีให้กับเอกชนที่นำเงินรายได้ไปสนับสนุน
ส่วนเรื่องเศรษฐกิจการกีฬา (Sport Economy) ประเทศไทยเราเพิ่งจะเริ่มต้นของขาขึ้น ยกตัวอย่างมวยไทย ซึ่งช่วงเวลาที่จะเป็นนักกีฬาจริงๆ แค่ไม่กี่ปี แต่หลังจากนั้นเขาสามารถผันตัวไปเป็นครูฝึกมวยไทย ทำธุรกิจขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับมวยไทย เปิดค่ายมวย เช่นตัวอย่างภูเก็ตมีค่ายมวยที่ต่างชาติเข้ามาเรียนฝึกซ้อม ทำให้มีการจับจ่ายใช้สอย ร้านอาหาร โรงแรม ที่พัก ค่ายมวยตลอดไปอย่างต่อเนื่อง
นายบัวขาว บัญชาเมฆ ได้กล่าวเสริมถึงวงการมวยไทยว่า ต้องยอมรับความจริงว่า การส่งเสริมดูแลสุขภาพนักมวยไทย หากย้อนไป 10 กว่าปีก่อน เราต้องใช้ร่างกายไปปะทะกับนักกีฬาต่างชาติ ตอนนั้นวิทยาศาตร์การกีฬายังไม่ดีเหมือนทุกวันนี้ ต้องอาศัยเทคนิคจากธรรมชาติซึ่งก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร และต้องยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นทักษะแต่ละคนและสมัยนั้นยังไม่มีรายการแข่งขันต่างๆ มากมายในระดับโลก แต่แตกต่างจากวันนี้ที่รุ่นน้อง เริ่มเห็นลู่ทางมีสนามแข่งขันมีวิทยาศาสตร์การกีฬามาช่วยดูแล มีอาหาร มีตารางฝึกซ้อม มีการพักผ่อนที่ถูกหลักวินัยก็ทำให้นักกีฬารุ่นใหม่ๆ ได้มีพัฒนาการที่แข็งแรงมากขึ้น
นายบัวขาว บัญชาเมฆ ได้ฝากให้ภาครัฐสนับสนุนให้เด็กและเยาวชนเข้ามาวงการมวยไทยให้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ จะเห็นเด็กๆ ต่างชาติเข้ามาฝึกซ้อมมากขึ้น มีพ่อแม่ให้การสนับสนุน แต่เรากลับเห็นเด็กไทยเข้ามาสู่วงการมวยไทยนี้น้อยลง เราก็กลัวเหมือนกันว่าต่อไปนักมวยไทยที่เป็นคนไทยจะน้อยลงไป
“การชกมวยไทยนั้น ไม่ใช่เป็นแค่การชกมวยบนเวทีอย่างเดียว แต่ยังเป็นศิลปะ เป็นแม่ไม้มวยไทย สามารถโชว์ได้หลากหลายรูปแบบ มันขายได้อย่างล่าสุดได้นำมวยไทยขึ้นไปโชว์ร่วมกับน้องมิลลิ บนเวที Head In The Clouds 2025 ที่สหรัฐฯ ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างคาดไม่ถึงเช่นกัน ก็แสดงให้เห็นถึงซอฟต์พาวเวอร์ของไทย ถ้าใช้ให้ถูกที่ถูกเวลาก็จะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย” นายบัญชากล่าว
ด้านน้องเทนนิส-พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิคเทควันโด กล่าวว่าตัวเองนั้นโชคดีตรงที่มีสมาคมเทควันโดให้การสนับสนุน ตนจึงไม่ต้องเป็นห่วงอะไร ตนเองแค่ฝึกซ้อมตัวเองให้พร้อมสำหรับการแข่งขัน สมาคมสนับสนุนอาหารการกินและดูแลโภชนาการให้ ส่วนเรื่องที่พักก็อยู่ใกล้ เรื่องฝึกซ้อมก็มีโค้ชเชดูแลใกล้ชิด ส่วนเรื่องสภาพจิตใจนั้นก็ได้นักจิตวิทยาคอยดูแลใส่ใจอยู่ตลอดเวลา จะมีเรื่องที่กังวลเล็กน้อยคือเรื่องการเรียนที่จุฬาฯ เพราะตนไม่ต้องการทิ้งการเรียน และอยากให้เรียนและเล่นกีฬาได้ประสบความสำเร็จไปพร้อมๆ กัน
เรื่องนักจิตวิทยานั้นสำคัญมาก เช่น เรื่องการจำกัดการทานอาหารหรือทานแต่อาหารที่เหมาะสมกับการฝึกซ้อม ต้องใช้ทั้งนักจิตวิทยา นักโภชนาการ และโค้ช ช่วยกันดูแล เพราะด้วยสภาพร่างกายตนเองที่สูง 173 เซนติเมตร แต่ต้องลงไปเล่นที่อายุไม่เกิน 49 กิโลกรัม ต้องควบคุมน้ำหนักขณะเดียวกันก็ต้องฝึกซ้อมหนัก หากอาหารไม่ดีก็ทำให้ประสิทธิภาพการแข่งขันต่ำ จึงต้องให้ความสำคัญกินให้ดูกินให้ถูก ลดน้ำหนักให้ถูกวิธี และรักษาสภาพจิตใจให้เหมาะสมที่สุดไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในทุกการแข่งขัน
“ความฝันของหนู คือหนูอยากสร้างนักกีฬาขึ้นมาคนหนึ่ง จากไม่เป็นอะไรเลยปั้นให้เก่งยิ่งไปกว่าตัวหนู หนูอยากใช้ความรู้ที่ตัวเองมีทั้งหมดส่งต่อความสามารถนี้ให้คนรุ่นใหม่ ปั้นนักกีฬาให้เก่งกว่าตนเองให้ได้” น้องเทนนิสกล่าว
นายเศรษฐา ได้กล่าวตั้งข้อสังเกตเรื่องศิลปินแห่งชาติ ผมไม่แน่ใจว่าไม่มีนักกีฬาได้เลย ศิลปินแห่งชาติไม่มีนักกีฬาเลย และศิลปินแห่งชาติได้สิทธิ เกียรติประวัติวงศ์ตระกูล จึงฝาก ก.วัฒนธรรมผลักดันให้ เพราะตนเชื่อว่า สำหรับนักกีฬาที่ได้เหรียญทองโอลิมปิค 2 เหรียญ หรือบัวขาวไปเผยแพร่ศิลปะแม่ไม้มวยไทยในต่างประเทศแบบนี้ ไม่มีใครทำได้แน่ ก็อยากฝากให้ ก.วัฒนธรรมได้ช่วยดูพิจารณาด้วย
นายเศรษฐา กล่าวเพิ่มเติมถึงเรื่องเศรษฐศาตร์การกีฬาเพิ่มเติมว่า เป็นสิ่งสำคัญยกตัวอย่างนักฟุตบอล เจ ชนาธิป ว่าสัญญาล่าสุดกับต้นสังกัดมีมูลค่านับร้อยล้านบาท ยังไม่นับจากผู้สนับสนุนรายการ ซึ่งตรงนี้ เป็นการพัฒนาร่วมกับระหว่างสมาคมกีฬากับนักกีฬา ยังไม่นับเรื่องโควตานักเตะ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีนักกีฬาต่างชาติมาอยู่ในทีมไทยมากขึ้น จนไม่แน่ใจว่าบางทีมเวลาไปเตะแทบจะหานักกีฬาคนไทยไม่ได้ ก็ต้องฝากให้ช่วยกันดูแลเพื่อพัฒนานักกีฬาไทยให้เพิ่มมากขึ้น แน่นอนว่าเราอยากพัฒนาวงการกีฬาไปในระดับโลกมากขึ้นแต่เราก็ต้องไม่ลืมที่จะมีพื้นที่ให้นักกีฬาไทยได้พัฒนาตัวเอง
ส่วนเรื่องที่คนไทยเคยพูดกันเรื่อง บอลไทยไปบอลโลกนั้น ต้องขอยกตัวอย่างญี่ปุ่นก่อนเขาจะไปบอลโลก กว่าเขาจะมีวันนี้ เขาวางรากฐานมาก่อนหน้านั้น 30 กว่าปี เราไม่แน่ใจว่าเราเริ่มต้นหรือยัง เราไม่ได้อยากทำให้หมดกำลังใจ แต่อยากให้สมาคมกีฬา ได้เริ่มต้นทำ อย่างตอนผมเป็นนายกฯ ก็มีสนับสนุนงบประมาณไป 50 ล้านและย้ำว่าให้ไปสนับสนุนที่ลีกรอง เพื่อเป็นพื้นฐาน ดูแลด้านอาหาร โภชนาการ วิทยาศาสตร์การกีฬา ถ้าไม่เริ่มต้นทำพื้นฐานก็จะยังไกลที่จะไปบอลโลก ซึ่งผมก็เชื่อมั่นเช่นกันว่าความหวังคนไทยนักเตะไทยก็อยากเห็นคนไทยไปบอลโลกในอนาคต