เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ดร.นลินี ทวีสิน ประธานผู้แทนการค้าไทย ได้พบหารือกับ H.E. Mohammed Ali Rashed Lootah ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Dubai Chambers และกรรมการ International Chamber of Commerce โดยมีนายสรยุทธ ชาสมบัติ เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี, นางสาวนิภา นิรันดร์นุต กงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ, นายปิติชัย รัตนนาคะ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองดูไบ, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เข้าร่วม
โดยการหารือในครั้งนี้ ดร.นลินี ได้มุ่งเน้นถึงการขยายความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทยและยูเออี (ดูไบ) ให้ครอบคลุม เติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นการต่อยอดจากผลการเจรจาทางธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยและดูไบ ภายใต้โครงการ 2025 New Horizons Roadshow to Thailand ที่จัดขึ้น ณ กรุงเทพมหานคร เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะผลักดันการส่งเสริมการค้าการลงทุนในสาขาที่ภาคเอกชนต่างได้ให้ความสนใจและมีศักยภาพเพิ่มขึ้น โดยในส่วนของการค้า อาทิ ผลิตภัณฑ์ ของตกแต่ง และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับโรงแรม สินค้าอาหารและเกษตรแปรรูป เนื้อสัตว์แปรรูปฮาลาล (ไก่แช่แข็ง และเนื้อสัตว์อื่นๆ) รวมถึงอาหารสด ขณะที่ภาคการลงทุน ได้มุ่งเน้นไปยังสาขาด้านอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสุขภาพ และ Data Center
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือแนวทางความร่วมมือเพื่อส่งเสริมธุรกิจ Tech Startup ของไทย โดยทาง Dubai Chambers ได้เชิญชวนผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน GITEX GLOBAL X Expand North Star มหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งจะจัดขึ้น ณ เมืองดูไบ ในเดือนตุลาคมนี้ พร้อมเสนอให้มีการจัดตั้ง “Thailand Pavilion” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการ Tech Startup ไทยได้ขยายตลาด ต่อยอดธุรกิจ และสร้างเครือข่ายกับนักลงทุนและพันธมิตรจากนานาประเทศ ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการผลักดันประเทศไทยสู่ระดับโลก ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา งานดังกล่าวมีผู้ประกอบการเข้าร่วมราว 70,000 แห่ง และมีนักลงทุนเข้าร่วมกว่า 1,000 ราย ถือเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของ Tech Startup ไทย และเพิ่มโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน Dubai Chambers ยังได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจสุขภาพของไทย ซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มผู้มีรายได้สูงที่มองหาสถานที่พักผ่อนและฟื้นฟูสุขภาพ พร้อมทั้งเห็นว่าการประชาสัมพันธ์ Wellness destinations ของไทยอย่างแพร่หลาย จะช่วยเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจและดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากดูไบและต่างประเทศได้อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังได้เชิญชวนให้นักธุรกิจไทยขยายการลงทุนในยูเออี โดยเฉพาะในธุรกิจสุขภาพ สปา โรงแรม การแพทย์ และอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งไทยมีความเชี่ยวชาญและได้รับการยอมรับในตลาดยูเออีและตะวันออกกลาง โดยทาง Dubai Chambers พร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ทั้งในด้านการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนชั้นนำ และการสรรหาทำเลที่เหมาะสมสำหรับการลงทุน
ในโอกาสเดียวกันนี้ Dubai Chambers ได้ส่งเสริมให้ประเทศไทยใช้ดูไบเป็น “สะพานเศรษฐกิจ” เชื่อมโยงการส่งออกสินค้าไทยสู่ตะวันออกกลางและแอฟริกา โดยอาศัยจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายการกระจายสินค้าที่พร้อมเป็นศูนย์กลางส่งออกไปยังตลาดใหม่ที่มีศักยภาพสูง โดยเฉพาะสินค้าอาหาร ซึ่งดูไบติดอันดับหนึ่งในสามในฐานะ re-exporter ของโลก อีกทั้งยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์จากความตกลงของยูเออีที่มีอยู่ถึง 27 ฉบับ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและขยายโอกาสทางการค้าของไทยในระดับโลก
ดร. นลินี กล่าวทิ้งท้ายว่า การเดินหน้าขยายความร่วมมือนี้จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลไทยในการส่งเสริมการลงทุนคุณภาพ (Quality Investment) โดยเฉพาะในสาขาเศรษฐกิจอนาคต เช่น ดิจิทัล และโลจิสติกส์สมัยใหม่ นอกจากนี้ ยังสอดรับกับนโยบาย Dubai Economic Agenda 2033 (D33) ของรัฐดูไบ ซึ่งมุ่งเน้นการส่งเสริมการร่วมลงทุนจากต่างประเทศผ่านการขับเคลื่อนโครงการขนาดใหญ่ (Mega projects) โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาเมือง โครงสร้างพื้นฐานด้านถนน และการก่อสร้างอีกด้วย