ไม่พบผลการค้นหา
มองโลก มองไทย - ชาวนาไทยติดบ่วงวงจรอุบาทว์ ‘ยิ่งปลูกข้าวยิ่งจนหนี้ท่วมหัว’ - FULL EP.
มองโลก มองไทย - "บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป" วัดเงินเฟ้อได้จริงเหรอ? - FULL EP.
มองโลก มองไทย - จัดอันดับสายการบินที่ดีที่สุดในโลก ปี 2023 - ไทยอยู่ตรงไหนฮะเนี่ย? - FULL EP.
มองโลก มองไทย - จบใหม่ ไม่หางาน ปัญหาแรงงานใหม่ ที่รัฐบาลจีนไม่ยอมรับ - FULL EP.
มองโลก มองไทย - แก่แล้วจนวนไป ไทนแลนด์ - FULL EP.
มองโลก มองไทย - สิงคโปร์กวาดเรียบ ฮับแห่ง Entertainment - FULL EP.
มองโลก มองไทย - SDG Index 2023 'ไทย'อันดับ 43 ของโลก (ตอนที่ 2/2) - FULL EP.
มองโลก มองไทย - SDG Index เป้าหมายเพื่อคนทุกคนบนโลก (ตอนที่ 1/2) - FULL EP.
มองโลก มองไทย - พาสปอร์ตไทยอันดับ 67 ของโลก - FULL EP.
มองโลก มองไทย - ปรับตัวไม่ทัน! อินโดฯชิงตำแหน่ง Detroit of Asia แทนที่ไทย - FULL EP.
More
Programs
มองโลก มองไทย
Dec 1, 2019

รายการ มองโลก มองไทย ออกอากาศวันเสาร์ - อาทิตย์ เวลา 11.30 น. - 12.00 น. ทาง Voice TV

มองโลกมองไทย - ตั๋วหนังประเทศไทย แพงไปไหม ? - FULL EP.
Dec 1, 2019 05:33

รายการ มองโลกมองไทย ประจำวันที่ 1 ธันวาคม 2562

จากข่าว นักเรียนแห่โดดเรียนไปดูหนังค่าตั๋ว 25 บาท เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่งที่มีสาขาอยู่เกือบทั่วประเทศ ได้จัดโปรโมชั่นมอบความสุข โดยจำหน่ายตั๋วภาพยนตร์ในราคา 25 บาท ปรากฏว่าในหลายจังหวัดมีข่าวนักเรียนจำนวนมาก โดดเรียนไปดูหนัง อย่างที่ อ.เมือง จ.ลพบุรี นายอำเภอต้องสั่งให้ปลัดอำเภอ ร่วมกับสารวัตรนักเรียนและครูปกครอง เข้าตรวจสอบโรงหนัง หลังได้รับแจ้งว่ามีกลุ่มนักเรียนกว่า 200 คน เข้าไปดูหนังในเวลาเรียนจำนวนมาก โดยให้ครูปกครองทำประวัตินักเรียนไว้ แล้วส่งกลับโรงเรียน หรือที่ จ.ปทุมธานี ครูฝ่ายปกครองก็บุกโรงหนัง ไปพานักเรียนที่หนีเรียนกลับโรงเรียน

เรื่องนี้หลายคนอาจจะมองว่า เมื่อมีการโปรโมชั่นตัวหนังราคาถูกและดูได้แค่วันนั้นวันเดียว ก็ไม่แปลกที่ทุกคนจะแห่ไปดู รวมถึงเด็กนักเรียนที่ถึงขนาดโดดเรียนไปดู แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง เป็นโอกาสที่หายากที่ตั๋วหนังจะราคา 25 บาท เพราะปกติราคา 220 บาท ลองคิดดูว่าเด็กนักเรียนต้องเก็บเงินค่าขนมกี่วัน ถึงจะได้ไปดูหนังสักเรื่องหนึ่ง


ตั๋วโรงหนังไทยแพงไปไหมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น

เราลองมาเปรียบเทียบดูว่าค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทย คือประมาณ 300 บาทต่อวัน ทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ดังนั้นชั่วโมงหนึ่งก็ได้ค่าแรงประมาณ 37.50 บาท ค่าตั๋วหนังในประเทศไทย มีตั้งแต่ราคา 200-250 บาท โดยประมาณ หมายความว่า คนที่ได้ค่าแรงขั้นต่ำจะต้องทำงาน 5.3 ชั่วโมง จึงจะดูหนังในโรงภาพยนต์ได้ 1 เรื่อง

ทีนี้เราลองไปเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น ญี่ปุ่น ค่าตั๋วหนังประมาณ 1,500-2,000 เยน ค่าแรงขั้นต่ำชั่วโมงละ 848 เยน ดังนั้นทำงานแค่ 1.8 ชั่วโมง ก็ได้ค่าตั๋วหนังแล้ว หรือ เกาหลีใต้ ค่าตั๋วหนังราคา 5,000-10,000 วอน ส่วนค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ชั่วโมงละ 8,350 วอน หมายความว่า ทำงานแค่ 0.7 ชั่วโมง ก็ได้ค่าตั๋วหนัง  

ไปดูประเทศแถบยุโรปบ้าง ที่อังกฤษ ค่าตั๋วหนังราคา 8-10 ปอนด์ แต่ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ชั่วโมงละ 8.21 ปอนด์ ใช้เวลาทำงานประมาณ 1 ชั่วโมง ได้ค่าตั๋วไปดูหนัง หรือ เยอรมนี ค่าตั๋วหนังราคา 8 ยูโร ส่วนค่าแรงขั้นต่ำ 9.19 ยูโรต่อชั่วโมง ทำงานแค่ 0.9 ชั่วโมง ได้ค่าตั๋วหนัง

ส่วนที่ สหรัฐอเมริกา ตั๋วหนังราคา 9 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 7.25 ดอลลาร์สหรัฐ ต้องทำงานราว 1.2 ชั่วโมงจึงได้ค่าตั๋วหนัง


เทียบทำงานนานเท่าไหร่ถึงจะได้ดูหนัง 1 เรื่ิอง

ประเทศไทย ค่าตั๋วหนังปกติ 200-250 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ 37.5 บาท ต้องทำงาน 5.3 ชั่วโมง เพื่อดูหนัง 1 เรื่อง

ประเทศญี่ปุ่น ค่าตั๋วหนังปกติ 1,500-2,000 เยน ค่าแรงขั้นต่ำ 848 เยน ต้องทำงาน 1.8 ชั่วโมง เพื่อดูหนัง 1 เรื่อง

ประเทศเกาหลีใต้ ค่าตั๋วหนังปกติ 5,000-10,000 วอน ค่าแรงขั้นต่ำ 8,350 วอน ต้องทำงาน 0.7 ชั่วโมง เพื่อดูหนัง 1 เรื่อง

ประเทศอังกฤษ ค่าตั๋วหนังปกติ 8-10 ปอนด์ ค่าแรงขั้นต่ำ 8.21 ปอนด์ ต้องทำงาน 1 ชั่วโมง เพื่อดูหนัง 1 เรื่อง

ประเทศเยอรมนี ค่าตั๋วหนังปกติ 8 ยูโร 9.19 ยูโร ค่าแรงขั้นต่ำ ต้องทำงาน 0.9 ชั่วโมง เพื่อดูหนัง 1 เรื่อง

ประเทศอเมริกา ค่าตั๋วหนังปกติ 9 ดอลลาร์ ค่าแรงขั้นต่ำ 7.25 ดอลลาร์ ต้องทำงาน 1.2 ชั่วโมง เพื่อดูหนัง 1 เรื่อง

จะเห็นว่า ค่าตั๋วเข้าดูภาพยนตร์ของไทยเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำแล้ว แพงกว่าประเทศอื่นๆ มาก คือต้องใช้เวลาทำงานมากกว่า เพื่อให้ได้ค่าแรงเพียงพอกับราคาตั๋วหนัง


แต่นี่คือราคาตั๋วหนังธรรมดา คือแบบ 2D ถ้าเป็นแบบ 3D จะราคาแพงกว่านี้ และความแตกต่างของราคาระหว่างตั๋วหนัง 2D กับ 3D ของไทย ก็แตกต่างกันค่อนข้างมาก

จากรายงานของ Picodi.com ราคาตั๋วเข้าชมภาพยนตร์แบบ 2 มิติ ของไทย จะอยู่ที่ 7.8 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 230 บาท) แต่หากต้องการรับชมในระบบ 3 มิติ ค่าบัตรนั้นจะเพิ่มขึ้นอีก 29%

ในขณะที่ญี่ปุ่น ประเทศที่ได้ชื่อว่ามีค่าบัตรภาพยนตร์แบบ 2 มิติแพงที่สุดในโลก คือราว 16.7 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 493 บาท) แต่ถ้าดูแบบ 3 มิติ ต้องจ่ายเพิ่มอีก 22% 

ส่วนสิงคโปร์ ราคาตั๋วหนังแบบ 2 มิติ คือ 10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 300 บาท แต่ถ้าจะดูแบบ 3 มิติจ่ายเพิ่มอีกแค่ 4% ถือว่ามีความแตกต่างของราคาตั๋วแบบ 2 มิติและ 3 มิติที่น้อยที่สุดในโลก

แต่ประเทศที่ราคาตั๋วหนังแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ แตกต่างกันมากที่สุดคือ เยอรมนี โดยราคาตั๋วหนังแบบปกติ 2 มิติ คือประมาณ 9.9 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณเกือบๆ 300 บาท แต่ถ้าอยากดูแบบ 3 มิติ ต้องจ่ายเพิ่มอีก 45%

ขณะที่สหรัฐอเมริกา ราคาตั๋วหนัง 2 มิติและ 3 มิติ แตกต่างกัน 29% ซึ่งความแตกต่างของราคา พอๆ กับประเทศไทย

ความแตกต่างระหว่างราคาตั๋วหนัง 2D และ 3D

- ประเทศเยอรมนี ราคาตั๋วหนัง 2D ประมาณ 9.9 ดอลลาร์ , ราคาตั๋วหนัง 3D +45%

- ประเทศสหรัฐอเมริกา ราคาตั๋วหนัง 2D ประมาณ 9 ดอลลาร์ , ราคาตั๋วหนัง 3D +29%

- ประเทศไทย ราคาตั๋วหนัง 2D ประมาณ 7.8 ดอลลาร์ , ราคาตั๋วหนัง 3D +29%

- ประเทศญี่ปุ่น ราคาตั๋วหนัง 2D ประมาณ 16.7 ดอลลาร์ , ราคาตั๋วหนัง 3D +22%

- ประเทศสิงคโปร์ ราคาตั๋วหนัง 2D ประมาณ 10 ดอลลาร์ , ราคาตั๋วหนัง 3D+4%

ที่มา : bltbangkok.com


นอกจากนี้ หากไปดูความแตกต่างของค่าบัตรชมภาพยนตร์ระหว่างวันธรรมดากับวันหยุดสุดสัปดาห์ ของไทย ราคาตั๋วหนังวันธรรมดา (จันทร์-พฤหัส) ประมาณ 6.5 ดอลลาร์ หรือ 195 บาท แต่ถ้าเป็นวันสุดสัปดาห์(ศุกร์-อาทิตย์) ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 20%

ส่วน สิงคโปร์ มีความแตกต่างของราคาระหว่างวันธรรมดากับวันหยุดสุดสัปดาห์สูงที่สุดในโลกที่ 50% จากราคา 6.6 ดอลลาร์สหรัฐฯ (195 บาท) ในวันธรรมดา แต่อีกหลายประเทศ ราคาตั๋วเข้าชมภาพยนตร์ในวันธรรมดาและวันหยุดสุดสัปดาห์ ไม่มีความแตกต่างกัน เช่น สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส


กำไรธุรกิจโรงหนังไม่ได้มาจากราคาตั๋ว

แม้ตัวเข้าชมภาพยนตร์ของไทยจะมีราคาสูงเมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำ หรือค่าครองชีพของคนไทย แต่จริงๆ แล้วกำไรของธุรกิจโรงภาพยนตร์ไม่ได้มาจากค่าตั๋ว

แม้ในประเทศประเทศไทย จะมีผู้ให้บริการโรงภาพยนตร์เพียงไม่กี่เจ้า ปัจจุบันไทยมีโรงภาพยนตร์อยู่ราว 1,100 โรง จาก 2 เจ้าใหญ่ คือ “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” มี 134 สาขา 703 โรงภาพยนตร์รวม 160,000 ที่นั่ง ขณะเดียวกันยังมีอีก 5 สาขา 25 โรงภาพยนตร์ ในลาวและกัมพูชา

อีกเจ้าคือ “เอส เอฟ” มี 57 สาขา 371 โรงภาพยนตร์ รวม 81,300 ที่นั่ง

ทำให้คนไทยไม่มีทางเลือกมากนัก แต่ธุรกิจโรงภาพยนตร์ก็เป็นธุรกิจที่ค่อนข้างอิ่มตัว โดยเฉพาะในยุคออนไลน์ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Youtube , Line TV , Netflix

ขณะเดียวกันคนไทยยังดูหนังในโรงภาพยนตร์น้อยมาก โดย TDRI เคยจัดทำรายงานเรื่อง “เศรษฐศาสตร์โรงหนัง” ศึกษาพบว่า 

- คนไทยดูหนังในโรงภาพยนตร์เฉลี่ยเพียง 0.5 เรื่องต่อคนต่อปี เท่านั้น 

- ญี่ปุ่น 1.5 เรื่องต่อคนต่อปี 

- มาเลเซีย 2.1 เรื่องต่อคนต่อปี

- อินเดีย 2.5 เรื่องต่อคนต่อปี 

- เกาหลีใต้ 3.3 เรื่องต่อคนต่อปี 

- สิงคโปร์ 4.3 เรื่องต่อคนต่อปี 

- ประเทศที่ผลิตหนังออกมามากที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา ดูหนังเฉลี่ย 4.8 เรื่องต่อคนต่อปี

ขณะที่ ข้อมูลจาก “เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์” ระบุว่า คนไทยดูหนังเฉลี่ย 0.78 เรื่องต่อคนต่อปี , เกาหลีใต้ 4 เรื่องต่อคนต่อปี , สิงคโปร์ 3 เรื่องต่อคนต่อปี


แต่สิ่งที่ทำให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์อยู่ได้และมีกำไร มาจาก 3 ส่วนด้วยกัน คือ

1.อาหารและเครื่องดื่ม ปัจจุบันการไปดูหนังแต่ละเรื่อง ผู้ชมแทบจะเสียเงินให้กับ “อย่างอื่น” มากกว่าค่าตั๋วหนัง ไม่ว่าจะเป็นขนมขบเคี้ยว, น้ำอัดลมแก้วใหญ่ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้วรูปภาพยนตร์สุดฮิตที่กำลังลงโรงฉายอยู่ในขณะนั้น

โรงหนังทุกแห่งในปัจจุบันแทบจะให้ความสำคัญกับการขายของเหล่านี้พอๆ กับการโปรโมตหนังแต่ละเรื่องก็ว่าได้ มีขนมแบบใหม่ๆ มาเสนอให้ลองอยู่เรื่อย และแก้วน้ำอัดลมที่หลายๆ คนเก็บเป็นของสะสม

โดยอาหารและเครื่องดื่มที่ขายในพื้นที่ของโรงภาพยนตร์จะมีราคาแพงกว่าที่ขายข้างนอกกว่าเท่าตัว ยกตัวอย่างน้ำเปล่า ข้างนอกขายขวดละ 10 บาท แต่ในพื้นที่โรงภาพยนตร์ราคาขวดละ 20-40 บาท และโรงภาพยนตร์ยังมีกฎห้ามนำอาหารและเครื่องดื่มจากภายนอกเข้าไปในโรงภาพยนตร์

ป๊อปคอน , ขนมขบเคี้ยว , น้ำดื่ม และของที่ระลึก ทำกำไรให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์ มากถึง 68% ของยอดที่ขายได้ และสร้างกำไรให้ธุรกิจโรงภาพยนตร์มากถึง 50% ของกำไรทั้งหมด

2.ธุรกิจสื่อโฆษณา สังเกตหรือไม่ว่า ทั้งที่เราเสียค่าตั๋วเข้าไปดูหนังแล้ว ยังหนีไม่พ้นต้องเจอกับโฆษณาก่อนหนังฉาย ธุรกิจส่วนนี้ทำกำไรประมาณ 40% ของกำไรทั้งหมด

3.ธุรกิจพื้นที่ให้เช่า พื้นที่ของโรงภาพยนตร์ หลายแห่งจะมีพื้นที่เหลือเปิดให้เช่าขายสินค้าและบริการต่างๆ ให้คนที่ไปดูหนัง ได้ซื้อหรือใช้บริการ ระหวางรอเวลารอบหนัง รายได้ส่วนนี้ทำกำไรให้ประมาณ 4-5% ของกำไรทั้งหมด

ส่วนที่เหลือมาจากอื่นๆ เช่น ค่าตั๋วหนัง

จึงไม่แปลกที่โรงภาพยนตร์ จะจัดโปรโมชั่นลดราคาค่าตั๋วอยู่บ่อยๆ ก็เพราะโรงหนังมีจุดประสงค์ในการดึงคนมาดูหนัง (และซื้อของกิน) ให้มากที่สุดนั่นเอง


โครงสร้างรายได้ของ MAJOR ปี 2561

1.ธุรกิจโรงภาพยนต์ 76% จำนวน 7,564 ล้านบาท

2.ธุรกิจสื่อโฆษณา 14% จำนวน 1,340 ล้านบาท

3.ธุรกิจโบว์ลิ่งและคาราโอเกะ 4% จำนวน 438 ล้านบาท

4.ธุรกิจพื้นที่เช่า 4% จำนวน 425 ล้านบาท

5.ธุรกิจสื่อภาพยนต์ 2% จำนวน 185 ล้านบาท


(รายได้ ไม่ใช่กำไร)

- รายได้จาก ธุรกิจภาพยนตร์ 7,564 ล้านบาท มีส่วนที่เป็นยอดขายสิ้นค้า (ป๊อปคอน,เครื่องดื่ม,ขนมและของที่ระลึก) ราว 30% หรือ 2,269 ล้านบาท โดยธุรกิจส่วนนี้มีอัตรากำไร(มาร์จิน) 68% หรือ ประมาณ 1,428 ล้านบาท

- ส่วนรายได้จากธุรกิจสื่อโฆษณา มีอัตรากำไร (มาร์จิน) 85% หรือคิดเป็น 1,139 ล้านบาท

- ขณะที่ตั๋วหนัง มีอัตรากำไร (มาร์จิน) เพียง 12% หรือ ราว 656 ล้านบาท

- แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายการบริหาร พนักงาน สถานที่ ค่าลิขสิทธิ์ และอื่นๆ แล้ว ปี 2561 MAJOR มีกำไรสุทธิ 1,283.59 ล้านบาท

แสดงว่า กำไรในส่วนของธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม และ สื่อโฆษณา ต้องไปโปะรายจ่ายในส่วนอื่น


Voice TV
กองบรรณาธิการ วอยซ์ทีวี
190Article
76559Video
0Blog