ไม่พบผลการค้นหา
"จตุพร" แนะพรรคอนาคตใหม่คิดให้รอบคอบ เร่งตัดสินใจทางการเมืองจะลาออกหรือไม่ เพื่อรักษาสถานะและความเป็น ส.ส.ไว้

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวถึงการยุบพรรคอนาคตใหม่ ว่าแนวรบไม่เปลี่ยนแปลง โดยระบุที่ผ่านมาตนพูดมาหลายครั้งและเห็นความเป็นไป คือ การเตรียมความพร้อมรับมือของพรรคอนาคตใหม่ เพราะประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนั้นมีมาแล้วอย่างน้อย 4 พรรคการเมืองซึ่งมีการออกแบบแตกต่างกันไป  

โดยเฉพาะตอนยุบพรรคไทยรักไทย คือ อยู่ในระหว่างรัฐบาลที่มีการรัฐประหาร ซึ่งหลายคนคิดว่าพรรคการเมืองที่มีสมาชิกกว่า 14 ล้านคนจะไม่มีใครกล้ายุบพรรค เพราะในวันเดียวกันนั้นมีการอ่านคำวินิจฉัยยุบพรรคประชาธิปัตย์เช่นเดียวกัน 

ดังนั้นการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่หรือไม่ในอีก 2 วันข้างหน้านั้น จากการที่ตนติดตามการแถลงข่าวของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรค ก็มีการเตรียมความพร้อม เพราะ ชะตากรรมของการถูกยุบพรรคนั้นจะต้องมีพรรคสำรองไว้ และหากถูกยุบพรรคจริงนั้นกรรมการบริหารพรรคจะถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ดังนั้นต้องดูว่า กรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ที่เป็น ส.ส. จะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไร หากวัดดวงตัดสินใจไม่ลาออกก็ต้องยอมรับว่าจะต้องเสีย ส.ส. ไปทั้งหมด 11 ที่นั่งจากจำนวน 76 เหลือ 65 ที่นั่ง  

แต่หากตัดสินใจเด็ดขาด คือ การน้อมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น และวางแผนกันอย่างมีสติ ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย ตัดสินใจลาออกทั้ง 11 คนเพื่อให้ลำดับถัดไปได้ขึ้นมาเป็น ส.ส. ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเวลาที่จะต้องตั้งสติเพื่อให้เกิดการสูญเสียน้อยที่สุดของจำนวน ส.ส. ในสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้นเชื่อว่าอยู่ระหว่างการชั่งใจ เนื่องจากมีแบบอย่างและบทเรียนให้ได้เห็นมาแล้ว  

นายจตุพร กล่าวถึงการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านที่นัดหมายกันว่าพรุ่งนี้ (20 ม.ค.) ว่า ต้องตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนว่าอภิปรายเพื่ออะไร เพราะหากการอภิปรายเต็มไปด้วยน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ก็ไม่สามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้ แม้เสียงในสภาฝ่ายรัฐบาลจะชนะฝ่ายค้าน แต่การอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น คือ การสื่อสารมายังประชาชน และหากผลของการอภิปรายที่คนทั้งประเทศฟังแล้วว่า รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้ แม้จะเป็นเสียงข้างมากก็ตามรัฐบาลก็จะอยู่ไม่ได้ 

แต่สาระสำคัญจะต้องกำหนดเป้าหมายว่าต้องการอะไรในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นกลยุทธ์มากกว่าตัวบุคคล บางเรื่องนั้นใช้กระทู้หรือวิธีอื่นใดในการซักถาม บางเรื่องใช้กระบวนการถอดถอนอย่างเดียวได้ ดังนั้น การอภิปรายจะต้องชี้ให้ประชาชนที่ฟังการถ่ายทอดทางโทรทัศน์ว่าที่สุดแล้วไว้วางใจไม่ได้จริงๆ เหมือนอย่างที่ตนเคยบอกว่าไม่ต้องใช้คนจำนวนมาก แต่ให้ใช้ความจริงเป็นส่วนมาก ซึ่งตนในฐานะที่เคยเป็นผู้ทำหน้าที่เป็น ส.ส.ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลนั้นรู้ว่า ควรจะต้องทำข้อมูล ที่เป็นข้อมูลสามารถสื่อสารกับประชาชน ดังนั้นสภาวะการณ์ที่ตนเคยบอกว่า แนวรบไม่เคยเปลี่ยนแปลงว่า ความยากจนยังมีอยู่ 

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ปัญหาใหญ่ที่สุดในวันนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลงคือปัญหาความยากจน ปัญหาภัยแล้งซึ่งจะทำให้ยิ่งยากจนหนักขึ้น ขณะเดียวกันก็จะประสบกับปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งแทบจะปกคลุมไปทั้งประเทศไทย ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไม่เคยพบกับปัญหาเหล่านี้

ดังนั้นแต่ละเรื่องราวก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรวมถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำที่เป็นภัยทางเศรษฐกิจก็ยังคงอยู่มีนายทุนไม่กี่คนของประเทศนี้ยังเสพสุขอยู่ได้ แต่คนกว่า ร้อยละ 90 ก็ยังมีความทุกข์แสนสาหัส