ไม่พบผลการค้นหา
เกิดเหตุระเบิดโบสถ์คริสต์และโรงแรม 7 แห่งในศรีลังกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 137 ราย

ทางการศรีลังการ เปิดเผยว่า มีรายงานเหตุระเบิด 7 แห่งในศรีลังกา ได้แก่ โบสถ์คริสต์ 3 แห่งในเมืองโกชชีกาเด กาตูวาปิติยา และบัตติคาโล รวมถึงโรงแรมแชงกรีลา คิงบิวรี ทรอปิคอลอินน์และซินนามอนแกรนด์ ซึ่งตั้งอยู่ในกับบ้านพักอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีศรีลังกาในกรุงโคลอมโบ

เหตุระเบิดครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 137 ราย และบาดเจ็บอีกมากกว่า 200 คน โดยสำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า โรงพยาบาลเปิดเผยว่ามีชาวต่างชาติอย่างน้อย 9 รายที่เสียชีวิตจากเหตุระเบิดครั้งนี้

ล่าสุด รัฐบาลศรีลังกาประกาศเคอร์ฟิวจนกว่าสถานการณ์จะสงบ นอกจากนี้ รัฐบาลยังสั่งแบนโซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชั่นส่งข้อความ รวมถึง เฟซบุ๊กและวอทส์แอป เพื่อป้องกันการปล่อยข่าวลวง


ด้านไมตรีปาละ สิริเสนา ประธานาธิบดีศรีลังกาออกแถลงการณ์ขอให้ประชาชนอยู่ในความสงบ และสนับสนุนเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่สืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับคดีนี้ ขณะที่รานิล วิกรมสิงเห นายกรัฐมนตรีศรีลังกา ซึ่งนั่งเป็นประธานในการประชุมด่วนกล่าวว่า เขาประณามการโจมตีประชาชนอย่างขี้ขลาดวันนี้ พร้อมเรียกร้องให้ชาวศรีลังกาทั้งหมดสามัคคีและเข้มแข็งในช่วงเวลาแห่งความโศกเศร้านี้

เหตุระเบิดครั้งนี้เกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ตรงกับวันอีสเตอร์ ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่เฉลิมฉลองการฟื้นคืนพระชนม์ชีพของพระเยซู

ทั้งนี้ ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาแสดงตัวว่าเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดในครั้งนี้

จากข้อมูลการสำรวจสำมะโนประชากรศรีลังกาปี 2012 ศรีลังกามีประชากรทั้งหมด 22 ล้านคน นับถือศาสนาพุทธประมาณร้อยละ 70 ฮินดูร้อยละ 12.6 อิสลามร้อยละ 9.7 และคริสต์ร้อยละ 7.6

นับตั้งแต่การสิ้นสุดสงครามกลางเมืองศรีลังกาในปี 2009 มีเหตุรุนแรงที่ชาวพุทธ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ กระทำต่อคนกลุ่มน้อยทางศาสนาอย่างชาวมุสลิมและชาวคริสต์เกิดขึ้นหลายครั้ง เช่น เมื่อมี.ค. 2018 ที่ชาวพุทธโจมตีใส่มัสยิดและทรัพย์สินของชาวมุสลิมจนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในปี 2018

สมาคมชาวคริสต์อีแวนเจลิคัลแห่งชาติศรีลังกา (NCEASL) เปิดเผยข้อมูลว่า เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา มีกรณีเลิกปฏิบัติ ข่มขู่และก่อความรุนแรงต่อชาวคริสต์ทั้งสิ้น 86 กรณี และปีนี้ก็มี 26 กรณีแล้ว โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 25 มี.ค.ที่ผ่านมา พระสงฆ์พยายามเข้าไปขัดขวางการสวดมนต์วันอาทิตย์ของชาวคริสต์


ที่มา BBC, Al Arabiya, Reuters