ไม่พบผลการค้นหา
รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ ตั้งคำถามคนที่เสนอแนวคิดรัฐบาลแห่งชาติ ติงทำให้ประชาธิปไตยเจือจาง ไม่ได้มาจากการยินยอมของประชาชน พร้อมรัฐบาลใหม่ต้องกำหนดระยะเวลาบริหารประเทศและสิ่งที่ควรทำแน่นอนเพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับก่อนจัดการเลือกตั้งอีกครั้ง

นายรยุศด์ บุญทัน รองโฆษกพรรคเพื่อชาติ กล่าวถึงกระแสข่าวเรื่องรัฐบาลแห่งชาติ ที่มีหลายฝ่ายเสนอ ว่า ปัจจุบันสถานการณ์การเมืองไทยดูแล้ว มองไม่เห็นทางว่าจะเดินต่อไปได้อย่างไร มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเกิดเดธล็อกทางการเมือง จากปัญหาของกติกาการเลือกตั้งครั้งนี้ อันเกิดจากรัฐธรรมนูญ 2560 ที่วางกลไกกับดักเอาไว้ รวมถึง หลายๆ อย่างของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้เจือจางความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยลงไปอีก ทำให้ในช่วงนี้หลายฝ่ายออกมาเสนอทางออก โดยหนึ่งในข้อเสนอนั้น คือ รัฐบาลแห่งชาติ 

นายรยุศด์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ เนื่องจากผิดหลักการประชาธิปไตย นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ต้องมาจากประชาชน และจากการเลือกตั้งเท่านั้น การที่มีผู้เสนอนายกรัฐมนตรีคนนอกนั้น ตนไม่แน่ใจว่าท่านเหล่านั้นใช้หลักคิดหรือตรรกะอะไร เพราะนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งนั้น คงจะไม่เป็นที่ยอมรับจากประชาชนทั้งในและต่างประเทศ แล้วเช่นนี้จะเข้ามาแก้ปัญหาและบริหารประเทศได้อย่างไร และที่สำคัญประเด็นที่ตนมีความกังวลคือ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาตินั้น ใครจะเป็นเจ้าภาพ ใครจะเป็นผู้ริเริ่ม และการได้มาซึ่ง นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จะมีหลักเกณฑ์ในการสรรหาอย่างไร เพราะไม่ได้มีตัวบทกฎหมายรองรับในเรื่องนี้เอาไว้ ส่วนรายชื่อนายกรัฐมนตรีที่มีบางฝ่ายเสนอมาก็เป็นเพียงความเห็นส่วนตัว ไม่ได้มาจากยินยอมพร้อมใจของประชาชนทั้งประเทศ จึงมองว่าแม้การจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติจะสามารถแก้ไขปัญหาทางการเมืองในระยะสั้นได้ 

แต่กระบวนการได้มาซึ่งรัฐบาลแห่งชาตินั้น ยังเป็นโจทย์ใหญ่สำคัญของฝ่ายที่เสนอแนวคิดนี้ต้องออกมาอธิบายให้สังคมเข้าใจว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร เพราะไม่เพียงขัดหลักการประชาธิปไตย ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐาน และประเพณีการปกครองที่ทำให้ความเป็นประชาธิปไตยของประเทศเจือจางถดถอยไปอีก 

นายรยุศด์ กล่าวอีกว่า การเมืองไทยตอนนี้ยังไปไม่ถึงทางตัน หากทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมือง ยอมเสียสละ และถอยกันคนละก้าวเพื่อบ้านเมือง ซึ่งตนขอเสนอให้พรรคการเมืองที่สามารถรวบรวมเสียง ส.ส. ได้เกินกึ่งหนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล (ควรจะเป็นพรรคอันดับ 1 ก่อนหากไม่สำเร็จก็เป็นพรรคอันดับ 2) และไม่ว่าพรรคใดรวบรวมเสียงได้ ตนเชื่อว่า ส.ว. ทั้ง 250 คน จะไม่ใช่ปัญหาในการโหวตเลือกนายกฯ ไม่เช่นนั้นก็จะต้องถูกกดดันอย่างหนักจากสังคม และอนาคตทางการเมืองของ ส.ว. เหล่านั้นก็คงจบไม่สวย 

โดยรัฐบาลใหม่ไม่ว่าพรรคใดจะเป็นแกนนำก็ตามต้องประกาศภารกิจสำคัญ 3 อย่าง คือ 1. ประกาศระยะเวลาการทำงานของรัฐบาลให้ชัดเจนซึ่งไม่ควรจะเกิน 1 ปี และต้องกำหนดวันเลือกตั้งครั้งต่อไป 2. ต้องแก้ไขกติกาและกฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและยอมรับกับทุกฝ่าย 3. รัฐบาลต้องไม่อนุมัติงบประมาณที่มีผลผูกพันระยะยาว หรือโครงการใหญ่ๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนใหญ่ทั้งประเทศ พร้อมทั้งไม่แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทุกระดับเพื่อสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบทางการเมือง ซึ่งข้อเสนอทั้ง 3 ข้อ ดังกล่าวอาจจะฟังดูเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก แต่หากทุกฝ่าย ทุกพรรคการเมืองมองเห็นแล้วว่า อนาคตทางการเมืองจากนี้ไปจะต้องเจอกับวิกฤต แล้วทำไมเราต้องเดินต่อไปเมื่อรู้ว่าจะต้องเจอปัญหา และวันนี้ประเทศชาติก็บอบช้ำมานานมากแล้วเช่นกัน