ไม่พบผลการค้นหา
'พิชัย' ชี้ 'ประยุทธ์' ไม่ออก เศรษฐกิจไม่ฟื้น เตือนหากคิดปราบผู้ชุมนุมจะเป็นทรราช แนะ 8 ข้อ ฟื้นเศรษฐกิจ เร่งอัดซอฟต์โลน 1 ล้านล้านบาท ลดงบทหาร ยอมรับนักศึกษาคืออนาคต

พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานเสวนา 'ฝ่ายค้านรับฟัง 4 กลุ่มเปราะบาง จากวิกฤติโควิด-19 ภาคอุตสาหกรรมและส่งออก' ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์บีชรีสอร์ท พัทยา ว่า การส่งออกของไทยในเดือน ส.ค.ยังคงติดลบอย่างต่อเนื่องที่ -7.94% แต่ถ้าหักส่งออกทองคำจะติดลบถึง -14.3% ซึ่งติดลบใกล้เคียงกับเดือนที่แล้ว (ส.ค.) ไม่ได้ฟื้นจริงอย่างที่กล่าว

อ้างทั้งนี้หากมองย้อนหลังจะพบว่า เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ปัจจุบัน ทั้งอุตสาหกรรม และการส่งออก สาเหตุหลักมาจากการรัฐประหารและพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเศรษฐกิจไทยตลอด 6 ปี ขยายตัวได้ต่ำมากเป็นคนป่วยของอาเซียนและจะยิ่งป่วยหนัก ตามที่สื่อหลัก The Financial Times บอกตั้งแต่หลังการเลือกตั้ง และก่อนมีโควิด-19 ยิ่งมีการระบาดของโควิด-19 เศรษฐกิจน่าจะติดลบ 8-10% ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่โตเลย เหมือนเศรษฐกิจไทยหยุดนิ่งมา 6 ปี นี่จึงเป็นสาเหตุของความลำบากอย่างมากของประชาชน

เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรม ที่ต้องเกี่ยวข้องกับการลงทุน ปรากฏว่า ตั้งแต่ปีแรกของการรัฐประหารการลงทุนจากต่างประเทศของไทยหายไปเลย 90% ยืนยันโดย Nikkei Asian Review และก็ไม่ฟื้นเลยตั้งแต่นั้นมา ถ้าจะดูตัวเลขการยื่นส่งเสริมการลงทุน การยื่นขอ BOI ลดต่ำลงกว่าครึ่งและการลงทุนจริงยิ่งลดต่ำกว่ามาก ทั้งนี้ไทยยังต้องประสบกับอุตสาหกรรมเดิมที่ล้าสมัย เกิด Disruption จำนวนมาก โรงงานปิดกิจการบ้าง โยกย้ายการผลิตไปประเทศอื่นบ้าง เช่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย ยิ่งทำให้อุตสาหกรรมไทยเสื่อมถอยลง ดังนั้นประเทศไทยจึงมีปัญหาทางการเมืองในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วทำให้เศรษฐกิจไทยทรุดลงเร็วมาก และ จะยิ่งทรุดลงอีก 

ในเรื่องการส่งออก ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับการลงทุนอุตสาหกรรมเพื่อการส่งออก ที่หดหายไป จึงทำให้การส่งออกของไทยย่ำแย่มาตลอด 5 ปีของการรัฐประหาร การส่งออกโตเฉลี่ยเพียง 2%กว่า แต่หลังเลือกตั้งกลับแย่ลง ปี 62 ส่งออกของไทยติดลบ 2.65% และ ปีนี้การส่งออกจะติดลบ 8-10% ซึ่งเท่ากับ 6 ปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยไม่ได้เพิ่มเลยแถมจะติดลบด้วย

ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยพึ่งการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีมาหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจ แต่เมื่อเจอโควิด-19 การท่องเที่ยวหายหมด ปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ จึงผุดขึ้นมาพร้อมๆ กัน ทั้งปัญหาหนี้เสีย และปัญหาการว่างงานเป็นจำนวนมาก โดยล่าสุด อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กังวลและคาดว่าอาจจะมีคนตกลงงานมากถึง 11.8 ล้านคนซึ่งจะเป็นปัญหาหนักของรัฐบาล

ในเรื่องปัญหาหนี้ ตนได้เตือนถึงหนี้ 5 ประเภทที่เคยพูดไว้แล้วคือ หนี้สาธารณะของประเทศที่จะพุ่งเกิน 60% หนี้ครัวเรือนที่จะพุ่งถึง 90% หนี้ธุรกิจที่จะทำให้บริษัทเจ๊งและปิดกิจการ ทำให้เกิดการว่างงานมาก หนี้เสียในระบบธนาคารที่จะพุ่งสูง และหนี้นอกระบบที่คิดดอกเบี้ยสูงและมีการทวงหนี้มหาโหดทำให้มีการฆ่าตัวตายกันจำนวนมาก ซึ่งหนี้ทั้ง 5 ประเภทนี้จะเป็นระเบิดเวลาของรัฐบาลนี้

และล่าสุด สภาพัฒน์ เองยังเปิดเผยถึงความเหลื่อมล้ำของไทยที่พุ่งสูงขึ้น ทั้งความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา นอกจากนี้ตลอดปี 2560-63 ปรากฏว่ามีคนจนมากขึ้น ต่อเนื่องจากธนาคารโลกที่เคยบอกว่า ปี 2558-2561 ประเทศไทยมีคนจนเพิ่มขึ้น เกือบ 2 ล้านคน สะท้อนความล้มเหลวการบริหารเศรษฐกิจของ พล.อ.ประยุทธ์

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าปัญหาเศรษฐกิจจะเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ซึ่งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะไม่สามารถแก้ไขได้ไม่ว่าจะนำใครเข้ามาช่วยบริหาร รัฐบาลต้องหยุดโกหกประชาชนว่าเศรษฐกิจไทยยังแข็งแกร่งหรือไทยยังดีกว่าประเทศอื่น ซึ่งไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ความจริงคือเศรษฐกิจไทยจะยิ่งย่ำแย่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์หมดความน่าเชื่อถือแล้วทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตนจึงอยากเสนอ 8 ข้อเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ

1.ต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เพราะไทยจะไม่สามารถฟื้นเศรษฐกิจได้เลยถ้าไม่มีความเชื่อมั่น ดังนั้น จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน พล.อ.ประยุทธ์ ให้ออกไป และต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยกเลิก 250 ส.ว. ลากตั้ง โดยไม่เตะถ่วง และต้องให้เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก รวมถึงระบบยุติธรรมและองค์กรอิสระต้องได้มาตรฐานไม่มั่วเหมือนในปัจจุบันจากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา เช่น คดีบอส อยู่วิทยา หรือเรื่องการกู้เงินของพรรคการเมืองที่พรรคหนึ่งผิด ถูกยุบพรรค แต่อีกหลายพรรคกลับไม่ผิด ทั้งที่กู้เงินเหมือนกัน เป็นต้น 

2.เร่งให้ซอฟต์โลน 1 ล้านล้านบาท ช่วยเหลือภาคธุรกิจ โดยเฉพาะภาคอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยวด้วย โดยออกให้เงินกู้ดอกเบี้ย 0% แก่ภาคธุรกิจ เพื่อให้ประคองธุรกิจไปได้ โดยต้องมีเงื่อนไขของการรักษาการจ้างงาน เพื่อแก้ปัญหาการว่างงานและรัฐบาลเองอาจจะสนับสนุนบางส่วนในการจ้างงานด้วย ทั้งนี้จะต้องเลือกด้วยว่าธุรกิจใดจะรอดพ้นและสามารถฟื้นตัวได้หลังโควิด-19 เพราะหลายธุรกิจอาจจะต้องปิดตัวอยู่แล้วจากภาวะ disruption ของโลก 

3.เร่งปรับประเทศเข้าสู่ระบบดิจิทัลอย่างแท้จริงโดยต้องกล้าลงทุนอย่างเต็มที่ในการปรับทุกภาคส่วนของราชการ โดยดูแบบอย่างของประเทศเอสทัวเนีย ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก นอกจากนี้การปรับเป็นระบบดิจิทัลจะช่วยลดขนาดราชการให้เล็กลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเข้ากับทิศทางของโลก อีกทั้งยังกำจัดการทุจริตคอร์รัปชันที่เป็นปัญหาหลักของประเทศได้ 

4.ส่งเสริมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมด้านดิจิทัล อุตสาหกรรมไฮเทค ที่ใช้ AI และ Robotic เพื่อสร้างเอสเคิร์ฟอย่างแท้จริง โดยต้องเปิดกว้างรับบริษัทต่างประเทศ และชาวต่างประเทศที่มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริงให้มาช่วยพัฒนาประเทศ 

5.เร่งหารายได้เพิ่มให้รัฐบาลนอกจากรายได้ภาษีอากรที่จะลดลงจากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ โดยรัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจทำเรื่องยากๆ ในอดีตให้เกิดขึ้นจริง เช่น การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาเพื่อขุดแหล่งพลังงานมาแบ่งปันกันโดยไม่ต้องพูดถึงเขตแดน การทำแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ภาคใต้ การทำหวยออนไลน์และบ่อนกาสิโน การปรับโครงสร้างภาษีเพื่อความเป็นธรรมโดยต้องเก็บภาษีจากคนที่มีฐานะดีให้มากขึ้นเพื่อนำมาช่วยคนที่ลำบาก การกำจัดการผูกขาด เป็นต้น ซึ่งสามารถทำได้และสามารถหารายได้เพิ่มอย่างแท้จริง แต่ทุกฝ่ายต้องร่วมมือระดมความคิดและแนวทางที่เป็นไปได้ และถ้าเรื่องไหนที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้องทำ

6.รักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทให้อ่อนค่าเพื่อส่งเสริมการส่งออกทั้งสินค้าอุตสาหกรรมและสินค้าเกษตร ตลอดจนการท่องเที่ยว และ หากเป็นไปได้ ควรพิจารณาการนำธนาคารแห่งประเทศไทยกลับเข้ามาภายใต้การบริหารของรัฐบาลเพื่อให้นโยบายสอดคล้องกัน ไม่ใช่ให้เป็นอิสระแต่กลับไม่เป็นผลดีกับประเทศและระบบเศรษฐกิจ 

7.ปรับเปลี่ยนงบประมาณให้ทันสมัยเข้ากับกระแสโลก ไม่ใช่ลอกตามปีก่อน ต้องปรับลดงบทหาร งบซื้ออาวุธ ยกเลิกการซื้อเรือดำน้ำ ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และงบอื่นที่ไม่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจ โดยต้องมุ่งเน้นการใช้งบประมาณเพื่อพัฒนาประเทศไปในแนวทางอนาคต 

8.ให้ความสำคัญกับการศึกษาในทุกระดับรายได้ และต้องยอมรับแนวคิดของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ ที่อยากพัฒนาและอยากเห็นประเทศไปในแนวทางไหน เพราะสุดท้ายพวกเขาเหล่านี้จะต้องพัฒนาประเทศต่อไป อีกทั้งประเทศต้องพึ่งพวกเขาในการหารายได้เพื่อเลี้ยงคนแก่จำนวนมากเพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ ถ้าเด็กรุ่นใหม่ไม่เก่งพอจะไม่สามารถหารายได้เพียงพอมาดูแลคนแก่จำนวนมากได้ เพราะถ้านักศึกษาและคนรุ่นใหม่มีความรู้ความสามารถเท่ากับผู้นำประเทศในปัจจุบันประเทศไทยคงจะไปไม่รอดแน่ พล.อ.ประยุทธ์นอกจากไม่ให้ความสำคัญกับแนวคิดของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่แล้วยังพูดคล้ายจะประกาศสงครามกับนักศึกษาและคนรุ่นใหม่อีก 

8 ข้อเร่งด่วนที่รัฐบาลควรเร่งดำเนินการ เพื่อเป็นพื้นฐานให้ประเทศพัฒนาและฟื้นเศรษฐกิจได้ หากพล.อ.ประยุทธ์ยังดื้อรั้น ประเทศจะเสื่อมลงเรื่อยๆ และความผิดทั้งหมดจะตกอยู่กับพล.อ.ประยุทธ์ที่ทำประเทศเสื่อมถอย และหากคิดจะปราบปรามผู้ชุมนุมจะกลายเป็นทรราชไปได้เลย และประวัติศาสตร์จะจารึกว่าสาเหตุของประเทศไทยย่ำแย่และล้มเหลว มาจากสมัยรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ที่ทำรัฐประหารเข้ามาและไม่ยอมลงจากอำนาจทั้งที่ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอแต่เพราะความดื้อรั้น