'ปริญญ์ พานิชภักดิ์' รองหัวหน้าพรรค และ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ นำทีมพรรคจัดงานสัมมนาในประเด็น "แปลงจีนให้เป็นโอกาส" โดยในวงเสวนาครั้งนี้ ประกอบด้วย 'อักษรศรี พานิชสาส์น' อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 'อาร์ม ตั้งนิรันดร' อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 'โจ ฮอร์น พัธโนทัย' กรรมการผู้จัดการบริษัท ยุทธศาสตร์613 จำกัด และ 'มาณพ เสงี่ยมบุตร' ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจจีน ธนาคารไทยพาณิชย์
ไทย-จีน ไม่ใช่พี่น้องเรื่องเศรษฐกิจ
'อักษรศรี' ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจของไทยพึ่งพิงจีนในสัดส่วนที่สูงมาก ปัจจุบันจีนเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของไทยและยังเป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทย
ขณะเดียวกััน ก็เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มากถึงเกือบ 10 ล้านคน ที่สร้างมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาทเข้าประเทศไทย ส่งผลให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักเมื่อนักท่องเที่ยวจีนเลือกเดินทางไปยังประเทศอื่น หลังไทยประสบปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ความปลอดภัย ประกอบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าและเศรษฐกิจจีนที่อ่อนแอลง
เมื่อลงไปดูในเชิงตัวเลขในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา 'อักษรศรี' กล่าวว่า การส่งออกของไทยไปจีนเติบโตเพียงร้อยละ 14 เท่านั้น และมูลค่าการค้าไม่เคยทะลุหลักแสนล้านบาทเลยสักปี ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม กลับขึ้นมาเติบโตถึงร้อยละ 140 และขยับขึ้นมาเป็นคู่ค้าอันดับที่ 7 ของจีน แซงไทยที่เคยเป็นคู่ค้าอันดับที่ 10 ของจีน จนตอนนี้ตกมาอยู่ในอันดับที่ 12
'อักษรศรี' อธิบายว่า สาเหตุที่ทำให้การค้าของไทยไปจีนเติบโตต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็นมาจากผู้ส่งออกของไทยเลือกที่จะส่งออกแต่สินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำ หรือสินค้าที่จีนนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ปลายทางเอง ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นได้แค่ผู้ส่งออกวัตถุดิบเท่านั้น ดังนั้นเมื่อ จีนเผชิญกับสงครามการค้าที่กระทบกับคำสั่งซื้อ การส่งออกของไทยจึงได้ผลกระทบโดยตรง
เมื่อเทียบกับเวียดนามที่ขยับขึ้นมาเติบโตอย่างรวดเร็ว สินค้าที่เวียดนามส่งออกและค้าขายกับจีนเป็นจำนวนมากคือ สมาร์ตโฟน จึงถือว่าได้เปรียบกว่าไทยมาก
'อักษรศรี' ย้ำว่า แม้ความสัมพันธ์ในเชิงวัฒนธรรมของไทยและจีนจะถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก แต่หากกลับมามองในมุมของเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ของเรายังต่ำกว่าสิ่งที่ควรจะเป็น
โอกาสที่ยังพอมี
แม้เศรษฐกิจจีนในปัจจุบันจะอยู่ในภาวะถดถอย ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จีนเมื่อปี 2561 ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 6.6 และ ตัวเลขจีดีพีในครึ่งแรกของปี 2562 ก็อยู่ที่เพียงร้อยละ 6 เท่านั้น แต่ 'มาณพ' ก็ยังเชื่อว่าไทยยังคงหาช่องทางการเติบโตได้หากเจาะได้ถูกจุด
'มาณพ' อธิบายว่า ส่วนหนึ่งของการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนมาจากการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศ แม้ดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ในภาคอุตสาหกรรมในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมาของจีนจะอยู่ต่ำกว่า 50 ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวมาตลอด แต่ดัชนี PMI นอกภาคอุตสาหกรรมยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่สูง ชี้ว่ากำลังมีการปรับตัวจากการพึ่งพิงภาคการผลิตอย่างเดียว
นอกจากนี้ ตัวเลขการค้าปลีกของจีนที่ชะลอตัวลงมาเติบโตที่ร้อยละ 8 - 9 ในช่วงปีที่ผ่านมา ยังซ่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภาคการค้าออนไลน์เอาไว้
'มาณพ' กล่าวว่า หากผู้ประกอบการไทยสามารถเจาะความต้องการผู้ซื้อจีนได้ถูกจุด แม้เศรษฐกิจโดยรวมของจีนจะชะลอตัวอยู่ แต่ไทยก็ยังสามารถทำธุรกิจได้อย่างไม่สะดุด
ทั้งนี้ 'มาณพ' ยังชี้สิ่งบกพร่องที่สร้างความกังวลให้กับประชากรจีน อาทิ ระบบสาธารณสุข รวมทั้งอุตสาหกรรมอาหารและยา ว่าเป็นช่องทางที่ผู้ประกอบการไทยสามารถเข้าไปทำตลาดได้ พร้อมแนะนำให้หันไปมองจีนในฝั่งภาคกลางและภาคตะวันตกแทนที่จะมุ่งเป้าไปแต่ภาคตะวันออกที่มีการเจริญเติบโตไปไกลและ "อาจจะถึงจุดอิ่มตัวแล้ว"
จีนจะขึ้นมานำโลกเทียบสหรัฐฯ
เมื่อมองถึงสถานการณ์ของประเทศจีนในอนาคตต่อไป 'อาร์ม' กล่าวว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือการสิ้นสุดของยุคโลกาภิวัฒน์ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้นำโลกเพียงผู้เดียว แต่จะเป็นการแบ่งสายการผลิตของโลกเป็น 2 ฝั่ง ที่ฝั่งหนึ่งนำโดยสหรัฐฯ และอีกฝั่งนำโดยจีน
'อาร์ม' ชี้ว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้น ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อให้สหรัฐฯ กลับมาเกินดุลการค้ากับจีนแต่มีประเด็นที่ลึกลงไปกว่านั้น โดย 'อาร์ม' อธิบายว่า ในขั้นแรกที่ประชาชนเห็นกันคือความขัดแย้งทางการค้า แต่ประเด็นในชั้นที่สองกลับเป็นเรื่องของเทคโนโลยี และประเด็นที่ลึกที่สุดคือความมั่นคงด้านข้อมูล
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจีนทำให้สหรัฐฯ เกิดความกังวลทั้งในแง่ความเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของโลก และในแง่ของความปลอดภัยด้านข้อมูล จึงเป็นที่มาที่มีการใช้หมากทั้ง 'หัวเว่ย' และ 'แอปเปิล' มาต่อรองกัน
'อาร์ม' สรุปในตอนท้ายว่า สถานการณ์สงครามการค้าที่เกิดขึ้นจะยังดำเนินต่อไปและอาจพัฒนาขึ้นไปเป็นสงครามเย็น 2.0 ที่มีความซับซ้อนมากกว่าสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ และโซเวียต เนื่องจากในยุคนั้นสหรัฐฯ และโซเวียตไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางการค้ากัน แต่ในปัจจุบันสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนในมูลค่ามหาศาลที่ไม่สามารถทำร้ายจีนได้โดยไม่เจ็บตัวเองด้วย ดังนั้นสงครามการค้าครั้งนี้จึงจะทั้งดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน และตกอยู่ในสภาวะ "เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย"
ขณะที่ สายการผลิตของโลก ก็จะถูกแบ่งออกเป็น 2 ขั้วเช่นเดียวกัน คือขั้วที่ขึ้นกับสหรัฐฯเป็นหลัก และขั้วที่ขึ้นกับจีนเป็นหลัก 'อาร์ม' บอกว่า สภาวะดังกล่าว จะสร้างความอึดอัดให้กับหลายประเทศไม่น้อย เพราะดูเหมือนต้องเลือกข้าง แต่หากวางตัวได้ดีก็สามารถเป็นประเทศคู่ค้าได้กับทั้งสองมหาอำนาจ
'อาร์ม' ปิดท้ายว่า คำถามสำคัญของประเทศไทยตอนนี้ ไม่ใช่ว่าจะเอาตัวเองเข้าไปเป็นข้อต่อส่วนไหนในสายการผลิต แต่ต้องถามว่าจะไปต่ออยู่กับโซ่ไหน หรือจะต่อกับทั้งสองโซ่ได้อย่างไร