ไม่พบผลการค้นหา
ศาลปกครองกลางพิพากษาให้ กสทช. เพิกถอนคำสั่งถอนใบอนุญาต 'พีซ ทีวี' แต่เปิดโอกาสให้ กสทช. ทำการสอบสวนใหม่ได้ โดยไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องร้อง

คดีนี้บริษัท พีซ เทเลวิชั่น จำกัด กับพวกรวม 6 คน ได้ยื่นฟ้อง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) และสำนักงาน กสทช. โดยระบุในคำฟ้องว่า บริษัทฯ ได้ออกอากาศรายการมองไกล ทางสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมยูดีดี ช่องรายการพีซทีวี เมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2558 หลังมีการออกอากาศรายการดังกล่าว คณะทำงานติดตามสื่อ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้มีหนังสือแจ้ง กสท.ว่า เนื้อหารายการดังกล่าวมีลักษณะที่ส่อให้เกิดความสับสน ยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างความแตกแยกในราชอาณาจักร

ต่อมาคณะกรรมการ กสทช. ได้พิจารณาแล้วมีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล ช่องรายการพีซทีวี ของบริษัทฯ และให้บริษัท วีซายน์ เทเลคอม จำกัด ระงับการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์แก่บริษัทฯ

ศาลปกครองกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ในกระบวนการพิจารณาทางปกครองก่อนมีมติให้เพิกถอนใบอนุญาตฯ ของบริษัทฯ นั้น กสท.และสำนักงาน กสทช.ไม่ได้แจ้งให้บริษัทฯ ทราบถึงคำร้องเรียน และไม่ได้ให้โอกาสบริษัทฯ ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงและแสดงพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง

อีกทั้งในชั้นการรวบรวมข้อเท็จจริงของสำนักงาน กสทช.ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการแจ้งสิทธิและหน้าที่ในกระบวนการพิจารณาทางปกครอง ตลอดจนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกกล่าวหาและพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหาให้บริษัทฯ ทราบตามความจำเป็น อันจะทำให้บริษัทฯ มีโอกาสโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตน จึงเป็นการรวบรวมข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนหรือวิธีการ อันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้ในประกาศ กสทช.เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการรวบรวมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่มีโทษทางปกครอง พ.ศ.2556 

นอกจากนี้ ข้ออ้างของผู้ถูกฟ้องคดีทั้ง 3 ที่ว่า การนำเสนอเนื้อหารายการมองไกล ส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมภายใต้สภาวการณ์ที่รัฐบาลกำลังสร้างความปรองดองสมานฉันท์ จึงอาจเป็นความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประโยชน์สาธารณะได้นั้น กรณีนี้ไม่ปรากฏว่ามีความเสียหายอย่างร้ายแรงใดเกิดจากการเสนอรายการดังกล่าวที่เข้าลักษณะมีความจำเป็นรีบด่วน หากปล่อยให้เนิ่นช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ อันจะเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา 30 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.2539 ที่ไม่ต้องให้โอกาสคู่กรณีโต้แย้งแสดงพยานหลักฐาน

ดังนั้น จึงเป็นการพิจารณาทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และเป็นผลทำให้มติของคณะกรรมการ กสท.ในการประชุมครั้งที่ 14/2558 เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2558 ที่ให้เพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล ช่องรายการพีซทีวี ของบริษัทฯ และให้บริษัท วีซายน์ เทเลคอม จำกัด ระงับการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์แก่บริษัทฯ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สำหรับในส่วนที่บริษัทฯ มีคำขอให้สำนักงาน กสทช.ชดใช้ค่าเสียหายนั้น เมื่อศาลยังมิได้วินิจฉัยเนื้อหาแห่งการกระทำความผิดตามที่ถูกร้องเรียนว่า บริษัทฯ กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและประกาศของคณะกรรมการ กสทช. โดยออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาต้องห้ามตามที่ถูกร้องเรียนหรือไม่ ประกอบกับแม้ศาลจะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนมติที่ให้ลงโทษทางปกครองในคดีนี้ แต่ก็ไม่เป็นการตัดอำนาจของคณะกรรมการ กสทช.ที่จะดำเนินกระบวนการพิจารณาทางปกครองแก่บริษัทฯ ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีการที่กฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้องกำหนด กรณีนี้จึงยังไม่อาจถือว่า คณะกรรมการ กสทช.และคณะกรรมการ กสท.กระทำละเมิดให้บริษัทฯ ได้รับความเสียหาย และไม่อาจพิพากษาให้สำนักงาน กสทช.ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทฯ ได้

ศาลปกครองกลางจึงพิพากษาให้เพิกถอนมติของคณะกรรมการ กสท.ในการประชุมครั้งที่ 14/2558 เมื่อวันที่ 27 เม.ย. 2558 ที่ให้เพิกถอนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัล ช่องรายการ พีซทีวี ของบริษัทฯ และให้บริษัท วีซายน์ เทเลคอม จำกัด ระงับการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์แก่บริษัทฯ โดยให้มีผลย้อนหลังไปนับแต่วันที่ออกคำสั่ง ทั้งนี้ ไม่ตัดสิทธิที่คณะกรรมการ กสทช.จะดำเนินการสอบสวนใหม่ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก และให้คำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งทางปกครองมีผลต่อไปจนกว่าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด

ข่าวที่เกี่ยวข้อง