ไม่พบผลการค้นหา
กรมบัญชีกลาง ชี้แจงกรณีข้อวิจารณ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ-เบี้ยความพิการล่าช้า เนื่องจากงบฯ เปลี่ยน ต้องจัดสรรเพิ่ม ทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพคลาดเคลื่อน

กรณีที่ ชัชวาลย์ วงศ์สวรรค์ ประธานชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (แห่งประเทศไทย) เปิดเผยผ่านเพจ 'ชมรมพัฒนาชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น' กรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการประจำเดือน ก.ย. 2563 ที่เลื่อนการโอนเงินจากวันที่ 10 ก.ย. เป็นภายในเดือน ก.ย. 2563 ว่า หากกรมบัญชีกลางไม่มีความพร้อมในการดำเนินการเรื่องดังกล่าวก็ไม่ควรโยนความผิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) พร้อมเสนอให้โอนหน้าที่จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการกลับมาที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทยเหมือนเดิม 

นอกจากนี้ ยังตั้งข้อสังเกตว่าเหตุใดกรมบัญชีกลางไม่โอนเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการให้ผู้มีสิทธิ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้กรมบัญชีกลางเคยระบุว่าหากงบประมาณไม่เพียงพอจะนำเงินทดรองราชการฯ ที่มีวงเงิน 1,500 ล้านบาท มาสำรองจ่ายเบี้ยยังชีพทั้งสองส่วนได้ทันที จากนั้นจึงไปเรียกเก็บคืนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ทำให้มีคำถามว่าเงินทดรองราชการ 1,500 ล้านบาท หายไปไหน นั้น

ภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข อธิบดีกรมบัญชีกลาง ชี้แจงว่า กรมบัญชีกลางและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กำหนดปฏิทินการทำงานสำหรับการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการร่วมกันแต่ละเดือน เพื่อให้สามารถจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิตามวันที่กำหนด ซึ่งการดำเนินการโอนเงินให้ผู้มีสิทธิแต่ละเดือนนั้นจะจัดสรรให้องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และเทศบาล 7,774 แห่ง (ไม่รวม อบจ.) ตามจำนวนที่ต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิครบทุกแห่งในการเบิกเงินแต่ละครั้งตามปฏิทินการทำงานข้างต้น

ตามขั้นตอนการดำเนินการ กรมบัญชีกลางจะต้องตรวจสอบงบประมาณเพื่อเบิกจ่ายให้ผู้มีสิทธิตามปฏิทินการจ่าย และเมื่อตรวจสอบงบประมาณเดือน ก.ย. 2563 พบว่าไม่เพียงพอ สถ.จึงต้องจัดสรรเพิ่ม แต่เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงงบประมาณของ สถ.ต้องดำเนินการตามกระบวนการบริหารงบประมาณ ทำให้ระยะเวลาการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยความพิการคลาดเคลื่อนไปจากปฏิทินการทำงาน

ส่วนกรณีวงเงิน 1,500 ล้านบาท ที่ยังไม่ได้มีการใช้ เนื่องจาก สถ.ได้ดำเนินกระบวนการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณเพียงพอเเล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทดรองราชการ สำหรับแนวทางการแก้ไขกรณีดังกล่าวขอความร่วมมือให้พิจารณาจัดสรรงบประมาณแต่ละปีให้มีความครอบคลุม เพื่อจะจ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิอย่างถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนและระยะเวลาตามที่กำหนดไว้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง